| |
....สถานการณ์หมอกควันพิษทางภาคเหนือ อากาศร้อนขึ้น
...ภาวะแล้งต่อเนื่องยาวนานในภาคอีสานและตะวันออก
ฯลฯ
...ภาวะแล้งต่อเนื่องยาวนานในภาคอีสานและตะวันออก
ฯลฯ
ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนเข้าขั้นวิกฤต จากรายงานของนักวิทยาศาสตร์พบว่าโลกร้อนและผลกระทบจากโลกร้อนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ถึง 90% และในอีก100 ปีข้างหน้าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 1-2 องศา รวมทั้งระดับน้ำทะเลด้วย
เนื่องในวันคุ้มครองโลก 2550 หรือ Earth Day 2007 ที่จะมาถึงในวันที่ 22 เม.ย.นี้ คงต้องมาย้อนดูถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกันว่าหนักหนาสาหัสเพียงใด
ภาวะเสี่ยงวิกฤตสิ่งแวดล้อม
ธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นโลกร้อนหรือไม่ร้อนแล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าผลกระทบจากโลกร้อนที่เกิดขึ้นจะรุนแรงมากน้อยเพียงใด จะลดผลกระทบด้วยวิธีใด ใช้งบประมาณเท่าไหร่ และต้องปรับตัวอย่างไร
ทั้งนี้ จากงานวิจัยของดร. กันทรีย์ บุญประกอบ นักวิชาการ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ ม.รามคำแหง และนักวิทยาศาสตร์ประจำคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือIPCC คาดการณ์ว่า ถ้าไทยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของป่า
กล่าวคือ อาจจะแล้งหรือเกิดไฟป่ารุนแรงขึ้น ขณะที่บริเวณอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะได้รับผลกระทบถึง 43 แห่ง ส่วนอุทยานแห่งชาติทางทะเล อาจมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง และแนวปะการัง อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ยังไม่แน่นอนเท่าที่ควร เพราะใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศระดับโลก
ธาราบอกด้วยว่า ส่วนการศึกษาของอังกฤษพบว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 10 เมตร อีก100 ปีข้างหน้าหรือนานกว่านี้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจะส่งผลกระทบต่อชายฝั่งด้านตะวันออกของภาคใต้ ภาคกลางตอนล่าง และทะเลฝั่งอ่าวไทยตอนในทั้งหมด
ล่าสุดผลการวัดระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 1-2 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนอันดามันเพิ่ม 8-12 มิลลิเมตร แต่ในอนาคตระดับน้ำอ่าวไทยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3-4 เมตรและก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกด้วย
ส่วนในเขตกรุงเทพฯ มีปัญหาทั้งแผ่นดินทรุดตัวและระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น โดยที่การทรุดตัวของแผ่นดินจะเร็วกว่าการเพิ่มของระดับน้ำทะเล
ขณะที่รายงานของนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่าในอนาคตบริเวณปลายแหลมของแหลมตะลุมพุกจะหายไป ซึ่งไม่ได้สรุปว่าเกิดจากภาวะโลกร้อนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรอบ6,000 ปี ของโลก
“จากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ควรระวัง”ธาราสรุป
ผนึกพลังเร่งพิทักษ์โลก
ธาราบอกด้วยว่าขณะนี้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 2.6 ต่อคนต่อปี หรือคิดเป็น 0.6% ของการปล่อยของโลก ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณไม่มาก ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องลด อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านพลังงานเตือนว่า ถ้าประเทศไทยยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มโดยไม่จำเป็น พัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิม และใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย ในอนาคตไทยจะลำบากอย่างแน่นอน เพราะคนไทยจะมีค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของโลก
ที่สำคัญคือ หากเป็นเช่นนี้ไทยจะเจอศึกหนักในการประชุมพิธีศาลเกียวโตรอบต่อไป ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซ หรือคงระดับการปล่อยไว้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมกันประหยัดพลังงาน และแก้ปัญหาโลกร้อน กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กำหนดจัดงานวันคุ้มครองโลก ( Earth Day) 2007 ขึ้นในวันที่ 21 เม.ย.นี้ เวลา 13.00-18.00 น.บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ สาขาปิ่นเกล้า โดยในงานจะจัดนิทรรศการกลางแจ้ง และแจกคู่มือกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำเสนอวิธีประหยัดพลังงานที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน อาทิ การประหยัดพลังงานในห้องน้ำ ห้องครัว จัดทำห้องจำลองแต่ละห้อง เปรียบเทียบให้เห็นข้อมูลการใช้พลังงานอย่างประหยัดและฟุ่มเฟือย เป็นต้น
ที่มา-
http://goo.gl/jGKj5