ใครๆ ก็มักจะพูดว่า "ดูละครแล้วย้อนดูตัว" ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบทละครที่เขียนขึ้นมานั้น มักได้แรงบันดาลใจมาจากความจริงในชีวิตมนุษย์ เพียงแต่เติมสีสันให้สนุกสนาน
แต่หารู้ไม่ว่าการปรุงรสเหล่านี้ส่งผลเสียต่อเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบ จนกลายมาเป็นอีกปัญหาหนึ่งในสังคมไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ร่วมกับเอแบคโพลล์ จัดเสวนาในหัวข้อ “เฝ้าระวังสื่อร้ายทำลายเด็ก” ขึ้น โดยมี ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และ อัญญาอร พานิชพึ่งรัก เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ
ดร.นพดล เผยถึงผลการสำรวจเรื่อง การศึกษาอิทธิพลของการชมรายการโทรทัศน์ กับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ในกลุ่มคนดู : กรณีศึกษาเด็ก เยาวชน และประชาชนอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ปกครองเด็กอายุ 2-6 ขวบ ในเขตกรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และนครศรีธรรมราช พบตัวเลขที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมของเด็กที่ดูโทรทัศน์คนเดียวที่สูงถึงร้อยละ 75.4 ความเป็นจริงของสิ่งที่พบเห็นจากรายการโทรทัศน์ พบที่เป็นการแต่งตัวโป๊ วาบหวิวร้อยละ 53.6 ภาพการแสดงทางรายการโทรทัศน์ที่ไม่ชอบแต่พบมากสุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 38.8 ล้วนเป็นของภาพการทำร้ายร่างกาย ตบตี
"ผลสำรวจน่าตกใจก็คือ เด็กอายุ 13-19 ปี ร้อยละ 15.3 รู้สึกอยากเป็นพระเอกที่ได้ข่มขืนคนอื่นๆ ได้ และเห็นว่าการข่มขืนเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ร้อยละ 20.2 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร แต่ตัวเลขในด้านดีก็ยังมีให้พบเห็นเช่นกัน เช่น สิ่งที่เคยทำและคาดว่าเคยเห็นมาจากโทรทัศน์ ร้อยละ 40 เป็นเรื่องของการพูดจาดี และร้อยละ 37.9 เป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ โดยภาพรวมของข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้ อาจสรุปได้ว่าภาพในทางที่ไม่อยากให้เกิดนั้น ยังคงมีล้นจออยู่ อย่างไรก็ตาม ภาพที่ดีก็ยังมีอยู่ให้เห็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน นับเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งดีๆ ยังมีให้เห็นในสื่อโทรทัศน์" ดร.นพดลกล่าว
ด้าน นพ.สุริยเดว ชี้แจงว่า การมีสื่อที่ไม่เหมาะสมจำนวนมากในโทรทัศน์ ผิดในแง่คุ้มครองผู้บริโภค และผิดที่ไม่คุ้มครองสิทธิของเด็ก ปล่อยให้ถูกทำร้ายทางจิตใจและอารมณ์ ต้องเสพแต่สื่อรุนแรง ฉากการแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้ง หากปล่อยให้สื่อร้ายรังแกสังคมไปเรื่อยๆ โลกยุคต่อไปจะเป็นโลกของเซ็กส์และความรุนแรง เพราะตอนนี้สิ่งที่ทำให้เด็กเปลี่ยนแปลงไป เป็นเพราะตัวของผู้ใหญ่เองที่ทำให้เป็นเช่นนั้น จะโทษเด็กอย่างเดียวไม่ได้
"ผมอยากวอนขอให้ผู้ผลิต ผู้จัดรายการ ช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำเสนอรายการหรือละครที่มีความรุนแรง ควรออกอากาศหลัง 20.00 น. และควรทำละครน้ำเน่าที่มีคุณค่า ด้วยการบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดทันทีเมื่อจบละครในตอนนั้นๆ ไม่ใช่รอจนอวสานแล้วมาบอกว่าสุดท้ายคนไม่ดีต้องรับโทษ เพราะเด็กๆ จะลอกเลียนแบบความไม่ดีเหล่านั้นไปจนหมดแล้ว" หัวหน้าคลินิกวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าว
ส่วนเรื่องของประกาศการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ (เรตติ้ง) ลัดดา ตั้งสุภาชัย กล่าวว่า ช่วงนี้เหมือนช่วงสุญญากาศ แต่อยากขอให้สถานีปฏิบัติตาม เพราะประกาศฉบับนี้เกิดจากการประชุมร่วมกับผู้ผลิต ผู้แทนสถานี ผ่านการพิจารณาหลายครั้ง แต่ดูเหมือนสังคมยังไม่เข้มแข็งพอ เยาวชนยังขาดภูมิคุ้มกันที่ดี ดังนั้นจึงควรจะมีกติการ่วมกัน แม้โทรทัศน์จะไม่ใช่สื่อเดียวที่ทำให้เด็กมีปัญหา แต่ถ้าไม่คิดสร้างสังคมที่ดีร่วมกัน อนาคตของชาติก็จะมีแต่แย่ลง
ด้าน อัญญาอร พานิชพึ่งรัก กล่าวว่า ตอนนี้รายการหรือละครโทรทัศน์บางครั้งยังไม่ปฏิบัติตามประกาศการออกอากาศละครอยู่ รวมไปถึงเรื่องของการจัดระดับความเหมาะสมของรายการ บางรายการยังจัดระดับความเหมาะสมได้ไม่ตรงกับรูปแบบของรายการ
“สิ่งที่น่าห่วงตอนนี้ก็คือเนื้อหาของละครแต่ละเรื่องที่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งพระเอกข่มขืนนางเอกได้ไม่ผิด มีฉากตบตีรุนแรงในแทบทุกเรื่อง บางคนอาจว่าไม่ใช่ปัญหา แต่เคยสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลานตนเองหรือไม่ว่า พวกเขามีพฤติกรรมอย่างไร จริงอยู่พ่อแม่ ต้องดูแลลูก แต่สังคมที่เป็นกลุ่มคนในหมู่มาก ก็ควรจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อสังคมของเราจะได้เป็นสังคมที่มีคุณภาพ" อัญญาอร กล่าวทิ้งท้าย
เห็นได้ชัดว่าปัญหาเหล่านี้ ไม่เพียงสื่อเท่านั้นที่ต้องหาทางแก้ไข หากแต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสอดส่องพฤติกรรมของเยาวชน โดยเฉพาะครอบครัวที่ต้องให้ความใกล้ชิดกับบุตรหลานให้มากเป็นพิเศษ อีกทั้งควรชี้แนะข้อดีข้อเสียในการนำเสนอเรื่องราวๆ ต่างๆ ผ่านสื่อให้เด็กได้รับทราบทุกครั้งด้วยhttp://goo.gl/xv1Pb