ด้วยมูลค่าความเสียหายปีละกว่า
2 แสนล้านบาทจากสถิติอุบัติเหตุทางถนนและกว่า 80%
ของสาเหตุหลักในการเกิดเหตุดังกล่าวมีที่มาจาก “ความเมา”
จากจุดนี้ก่อให้เกิดกลุ่มคนทำงานเพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้กับคนที่ชอบดื่มสุรา
หันมาใส่ใจกับความเดือดร้อนของคนอื่นและสังคม
ในชื่อของมูลนิธิ “เมาไม่ขับ”
ความเป็นมา...เป็นไปอย่างไร ผู้จัดการมอเตอริ่ง สัมภาษณ์ “นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช” เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีโครงการนี้ เหนืออื่นใดครั้งหนึ่งเขาเคยประสบอุบัติเหตุจากคนเมาขับรถมาชน....มันน่าเจ็บใจจริง ๆ | |||
ดังนั้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการช่วยรณรงค์ในเรื่องดังกล่าว ผู้จัดการมอเตอริ่ง จึงขอนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ของโครงการ “เมาไม่ขับ” กับ “หมอแท้จริง” ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสูญเสียเพราะเหตุคนเมาแล้วขับรถมาชน | |||
้เพราะสมัยก่อนรถพยาบาลยังไม่ทันสมัย
เหมือนปัจจุบันที่มีเครื่องมือครบ จึงเริ่มต้นด้วยการตั้งเป็นศูนย์วิทยุชื่อ “นเรนทร” ขึ้นเพื่อประสานงานไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน ทำมาได้สักพักยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งเกิดเหตุ ตึกรอยัลพาซ่าถล่มที่โคราช ทางปอเต็กตึ้งจึงเรียกวิทยุแจ้งเหตุเข้ามาที่ศูนย์นเรนทร หมอแท้จริงซึ่งประจำการอยู่หน้าวิทยุตลอดจึงโทรศัพท์แจ้งเหตุดังกล่าวแก่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ตามสายงานรับผิดชอบของตนเอง)เพื่อขออนุมัติส่งทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งปลัดก็อนุมัติทันที จึงเป็นที่มาของ ภาพข่าวที่สื่อออกไปในด้านการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างทันท่วงที เนื่องจากการประสานงานที่รวดเร็ว โดยเฉพาะทีมงานของกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานของรัฐหน่วยแรกๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ดังกล่าว | |||
“ความที่ผมมีใจรักทำงานทางด้านนี้อยู่แล้วจึงตัดสินใจรับตำแหน่งผ.อ.สถาบัน แต่ทว่าก็ขอกับปลัดฯ ว่า จะยังคงทำงานเป็นหมอตาอยู่ด้วยเหมือนเดิมนะ เพราะหมอสถาบันมันหากินไม่ได้ แต่หมอตาพอจะหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้” หลังจากนั้นก็จัดตั้งหน่วยกู้ชีพนเรนทรขึ้น ควบคู่ไปกับสถาบันฯ พอทำหน่วยกู้ชีพไปได้สักระยะหนึ่ง สังเกตเห็นว่า ผู้ประสบอุบัติเหตุที่ไปรับมา ส่วนใหญ่มีแต่คนเมา หมอแท้จริงเริ่มเก็บตัวเลขสถิติสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อรวบรวมได้จำนวนหนึ่งพบว่า กว่า 80% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจาสาเหตุ “เมา” นั่นเอง จึงคิดว่า ถ้าจะทำการรักษาอย่างเดียวเห็นท่าจะไม่ดีแน่ มันเป็นทางนรก ไม่ใช่สวรรค์ ฉะนั้นต้องเริ่มทำเรื่องป้องกันด้วยเหมือนกับ การรณรงค์เกี่ยวกับโรคเอดส์ โรคอหิวา ของกระทรวงสาธารณสุข เพราะหากขืนแต่รอให้คนเป็นแล้วค่อยมารักษา คนคงจะตายหมดก่อน | |||
ซึ่งผลของกิจกรรมนั้นมีคนส่งชื่อมาเป็นจำนวนมาก แต่มีเพียงชื่อเดียวที่โดนใจได้รับรางวัลชนะเลิศ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้คือ “เมาไม่ขับ” เมื่อชมรม “เมาไม่ขับ” ได้ชื่อในการทำตลาดอย่างเป็นทางการ และเริ่มเป็นที่รู้จักของสาธารณชนเรื่อยมา จนในปี 2546
หมอแท้จริงรวบรวมสถิติการเกิดอุบัติเหตุคนตายจากทุกโรงพยาบาลในช่วงวันปีใหม่
แล้วนำเสนอจัดงานแถลงข่าว
ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและสาธารณชนเป็นอย่างมาก “สิ่งที่เราทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2535-2546) ลุ่มๆ ดอนๆ แต่เพียงแค่นำเสนอตัวเลขสถิติเท่านั้นก็ได้รับการตอบสนองจากสื่อต่างๆ รวมถึงกระแสการตื่นตัวของคนเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจ พร้อมกับลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยบนท้องถนนขึ้น” | |||
แม้กระแสเมาไม่ขับจะแรงเพียงไรแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ หมอแท้จริง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2550 หรือราวๆ 1 ปีก่อน หมอต้องพบกับฝันร้ายคือ
รถหมอถูกคนเมาขับมาชนอย่างจัง
ความแรงของการปะทะทำให้รถของหมอไม่สามารถซ่อมได้ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว “จำได้ว่าวันนั้นผมขับมากับครอบครัวเพื่อไปเยี่ยมคุณพ่อและคุณแม่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี ขับอยู่ดีๆ ความเร็วประมาณ 30-40 กม./ชม. ก็มีรถมาชนท้ายอย่างแรงแล้วขับหนีไป พอผมลงมาจากรถคิดในใจว่า โห!!! ซวยจริงๆ เลยเรา แต่ยังดีที่คนไม่เป็นอะไรมาก” หมอเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นแล้วเล่าต่อว่า | |||
ความรู้สึกของหมอในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับ ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย พร้อมกับความคิดในใจว่า “เลิกแล้วครับกับการรณรงค์” เพราะแสดงว่า สิ่งที่เราทำดีมาทั้งหมด 10 กว่าปี ไม่ได้ผลเลย แต่ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกมือแตก หมอแท้จริงได้ดูรายการหนึ่ง แล้วเกิดความคิดว่า “จริงๆ แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้นหมายความว่า สิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ยังดีไม่พอต่างหาก ฉะนั้นเราต้องไปหาวิธีรณรงค์ให้เกิดผลมากกว่าเดิม” และนี่จึงเป็นที่มาของการรณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งขยายเครือข่ายให้คลอบคลุมถึงบรรดาเหยื่อของผู้ที่ถูกคนเมาขับรถชน ให้ได้รับความช่วยเหลือและมีกิจกรรมทำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการตั้งเป้าหมายของมูลนิธิว่า “เราจะต้องไม่สูญเสียจากคนเมาแล้วขับ” สุดท้ายเป้าหมายของหมอและมูลนิธิ จะเป็นไปได้เพียงไรหรือไม่ คงขึ้นกับสำนึกของคนที่รักการดื่มและภาครัฐที่จะออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเกรงกลัว ในการกระทำความผิด
ซึ่งเราขอให้ความตั้งใจของหมอเป็นจริงในเร็ววัน |
ที่มา-
http://goo.gl/87RtC