กัลยาณมิตร กิ่งแก้ว เสือหล้า (ประเทศ ออสเตรีย)ลูกชื่อ กิ่งแก้ว เสือหล้า อายุ 46 ปี จากออสเตรีย ลูกเริ่มรู้จัก วัดพระธรรมกาย ครั้งแรกตั้งแต่อยู่เมืองไทย เมื่อปี พ.ศ.2537 พอปี พ.ศ.2545-2546 ก็มาวัดอย่างต่อเนื่องทุกวันอาทิตย์ และที่สำคัญวัดพระธรรมกายนี่เองค่ะ ที่ทำให้ชีวิตของลูกเปลี่ยนไป เป็นเหมือนกุญแจที่ช่วยไขชีวิตของลูกให้พ้นจากห้องอันมืดมน คือ ลูกได้ใช้ชีวิตคู่แบบกิ๊กๆ กับหนุ่มคนหนึ่งอย่างที่ชาวบ้านเขาว่ากัน มีคู่ชีวิตไม่ดี ก็เหมือนมีแมวดื้ออยู่ในบ้าน แรกรักเหมือนอยู่ในแคว้นแดนสวรรค์ พอผ่านไปนานวัน สวรรค์ก็พลันล่มสลาย 3 วันดี 4 วันร้าย ทะเลาะกันเป็นอาชีพ และลูกก็เริ่มตระหนักว่า นี่มันนรกชัดๆ เมื่อความรักหมดอายุ สวรรค์เหมือนเรือนผุ และหัวใจเหมือนอยู่ในวัยชรา ไร้เรี่ยวแรงจะทนครองคู่ตุนาหงันกันต่อไป จึงลงเอยด้วยการต่างคน ต่างไปหลังจากมรสุมรักกำมะลอผ่านพ้นไป ลูกถามตัวเองเสมอว่า "ความสุขที่แท้จริงน่ะมีมั๊ย" ถามไปก็แสวงหาไปเรื่อย ทั้งกิน ทั้งเที่ยว เฟี้ยวไปวันๆด้วยความไม่รู้ จึงเปิดประตูอบายให้กับตัวเอง เกือบทุกประตูเลยค่ะ ทั้งกินเหล้าและเล่นการพนันตอนอยู่เมืองไทยก็ข้ามฝั่งไปเล่นถึงกัมพูชา พอเงินหมดก็จำนำของ เล่นจนหมดเนื้อหมดตัว ตอนนั้นไปเล่นกับเพื่อน ขาไปก็ขับรถไปเล่นด้วยกัน เล่นไปเล่นมาเพื่อนถึงขั้นต้องจำนำรถ ทั้งรถทั้งกุญแจต้องทิ้งให้บ่อนหมด กลับประเทศไม่ได้ พอได้เจอวัดก็เหมือนเจอทางออก และเลิกยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขตลอดมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2548 ลูกเดินทางลัดฟ้ามาแต่งงานกับสามีซึ่งเป็นชาวออสเตรีย เขาเป็นเทพบุตรตัวจริงในดวงใจ และต่อมาลูกรู้จักกับคนไทย ซึ่งได้แนะนำว่า ที่บ้านเขาจัดสถานที่ปฏิบัติธรรม ลูกจึงได้ไปกราบพระภิกษุ และร่วมงานบวชสามเณร ที่ วัดพุทธเอ้าสบวร์ก ที่เยอรมัน นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับศูนย์สาขาของวัดพระธรรมกายในต่างแดน และลูกก็ได้เป็นนักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา และก็หาโอกาสนั่งสมาธิ(Meditation)มาตลอดตอนนั่งสมาธิแรกๆ ลูกก็มีประสบการณ์ภายในที่คล้ายๆกับคนหลายคนทั่วโลกคือ ลงมือนั่งเมื่อไหร่ก็ฟุ้งทุกที ฟุ้งได้สารพัดเรื่อง ความทรงจำสีจางๆมักจะมาเข้มข้นในช่วงเวลานี้ เรื่องอะไรที่เคยลืม กลับผุดมาฉายให้ดูเต็มไปหมด ยิ่งกว่าหนังกลางแปลง แต่ก็นึกถึงถ้อยคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า "ถ้าฟุ้งก็ลืมตา" พอลืมตามาก็หายฟุ้ง พอหลับตาก็ฟุ้งต่ออีก ลูกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหัวใจตัวเอง เลยปล่อยๆให้มันฟุ้งตามใจปรารถนา ดูความฟุ้งในตัวไปเรื่อยๆ บางจังหวะก็ให้โอกาสใจ มาฟุ้งนึกเรื่ององค์พระดวงแก้วบ้าง สลับกันไปเจ้าค่ะ ประสบการณ์ภายในของลูกก็ดำเนินไปอย่างนี้ แต่ก็นึกปลอบใจตัวเองว่า นั่งฟุ้งยังดีกว่าไม่ได้นั่งจนกระทั่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่นั่งฟุ้งไปตามปกติ อยู่ดีๆมันก็แปลกเจ้าค่ะ ลูกรู้สึกใจมันนิ่งๆกึ๊กไปเอง เหมือนหนังหมดม้วน แล้วลูกก็เห็นแสงสว่างแยงขึ้นมาจากศูนย์กลางกาย ขยายจ้าเหมือนลูกนัยน์ตาโดนยิงด้วยสปอตไลท์ ตอนนั้นลูกยังหลับตาอยู่นะเจ้าค่ะ พอมองไปจนสุดปลายของแสงสว่าง ลูกก็เห็นเป็นแบบลำไส้ใหญ่ๆ คือมันเหมือนเป็นท่อ กลวงๆ ลงไป เหมือนเราลืมตาเห็นเลยเจ้าค่ะ ลูกก็ปล่อยนิ่งๆไปเรื่อยๆแล้วท่อกลวงๆก็หายไป กลายเป็น แสงสว่างเย็นๆ เป็นแสงที่มองแล้วมีความสุขมากๆ มองไปที่ไรก็สว่างทุกที เป็นแสงแห่งความสุขที่ลูกสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ ตอนนี้ลูกไม่ค่อยจะโอดโอย กับความทุกข์ทางโลกเท่าไหร่แล้ว เพราะความทุกข์เป็นสิ่งธรรมดา แต่ความสุขเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหาเวลาไปทำงาน ถ้าเหนื่อยก็ภาวนา สัมมา อะระหัง มองแสงสว่างข้างในทำแบบเพลินๆเก็บเกี่ยวความสุข ผสมเล็กผสมน้อยไปวันๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายใครต่อใครไปเรื่อยๆ ทำตัวเหมือนเป็นดอกไม้จ่ายแจกความเบิกบานให้กับคนรอบตัว ตอนที่ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์สอน โดยการนำเรื่องของคุณยายอาจารย์มาเล่าให้ฟังว่า ท่านสอนให้วางตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้า ลูกก็คิดแย้งว่า ทำไมคุณยาย เปรียบให้เราดูต้อยต่ำจังเลย เป็นผ้าเช็ดตัวได้ไหมหนอ แต่เมื่อลูกนำมาใช้จริงๆจึงรู้ว่า การที่เราทำตัวดุจผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้า ทำให้เราหลุดจากความขุ่นมัวต่างๆได้จริงๆ ใครจะด่าใครจะว่า เราไม่สนใจ คิดแล้วก็มีแต่ความสุขสำหรับประตูอบายใดๆ ไม่ว่าจะเป็นอบายมุขหรือการพนัน ลูกปิดและล็อกกุญแจหมดแล้วค่ะ และพยายามไม่ประมาท นั่งสมาธิและเร่งสร้างบารมีตามติดพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และกับหมู่คณะลูกรู้สึกซาบซึ้ง ในพระคุณของคุณครูไม่ใหญ่มากๆ นึกถึงทีไรหัวใจสะอื้นด้วยความปีติ เพราะคุณครูไม่ใหญ่ เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่แก่ลูก ให้เดินทางได้ถูก ได้รู้จักเป้าหมายชีวิตลูกมีความมั่นใจ และรู้ถึงหน้าที่ที่จะต้องทำในขณะนี้ว่า จะต้องช่วยงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในออสเตรีย ทำออสเตรียให้สว่างไสว และลูกอยากได้พื้นที่สร้างวัด อยากให้มีวัดเกิดขึ้นในออสเตรีย กราบขอบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่วยคุมบุญให้ด้วยนะเจ้าคะ และลูกขอตามติดไปอยู่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์ด้วยคนเจ้าค่ะ
http://goo.gl/x2S1C