บ้านของหมอบาซล่าอยู่ชั้นล่าง ประตูต้องมี 2ชั้น ชั้นในบุด้วยโฟมและมีแผ่นหนังปิดด้านในอีกที เพื่อป้องกันความหนาวเย็น ได้พบกับครอบครัวของหมอบาซล่า แต่งตัวแบบพื้นเมืองทำอาหารรอรับพวกเราอยู่แล้ว
อาหารเย็นมื้อแรก คือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อม้า และเกี๊ยวซ่านึ่งไส้แพะ นี่เป็นการทานเนื้อม้าครั้งแรกในชีวิตค่ะ ยึดคติว่า เราพึงทำตนให้เขาเลี้ยงง่าย เมื่อเข้าเมืองม้าก็ต้องกินม้า เนื้อม้าค่อนข้างเหนียวและคาวมาก จึงมาพร้อมแตงกวาและผักกาดดองกิมจิ แก้เลี่ยน ลูกล่ะนึกถึงพริกป่นน้ำปลา ต้นหอมผักชีมากๆ แต่ที่นี่มีแต่เกลือกับพริกไทยให้เท่านั้น
ส่วนเครื่องดื่มยอดนิยม มาแล้วต้องชิม คือ นมแพะใส่ชาเขียว เหยาะเกลือนิดหน่อย ทานเสร็จก่อนนอนก็นั่งสมาธิ(Meditation) และนึกถึงภารกิจที่จะทำต่อไปในวันพรุ่งนี้ นึกว่าถ้าชาวมองโกลได้ดู DMC และนั่งสมาธิกันทั้งประเทศจะเป็นยังไงบ้างนะ แค่นึกก็ปลื้มแล้วค่ะ เพราะคนที่นี่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนามาก
ในครั้งที่มีการอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ ผ่านมาประดิษฐานที่มองโกเลีย ประชาชนพอทราบข่าวบ้างก็ขี่ม้า บ้างเดินเท้าฝ่าลมหนาวและเส้นทางภูเขาที่ยาวไกลมาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลูกก็รู้สึกดีใจที่เราเป็นชาวพุทธที่ไม่ใกล้เกลือกินด่าง และยังได้มาทำหน้าที่เผยแผ่ความรู้อันบริสุทธิ์นี้ด้วยค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปวัดที่ท่านมุงจากาลอยู่ มีเวลาเปิดตอนประมาณ 9โมงเช้า พระหรือลามะ จะพักที่บ้านกับครอบครัวของตนเอง และเดินทางมาวัดตอนเช้า กลับบ้านตอนเที่ยงหรือถ้ามีกิจกรรมของวัด ก็กลับตอนเย็น ไม่มีพระภิกษุอยู่ประจำ คนที่มาวัดก็จะมาเพื่อฟังสวดมนต์ ทำบุญ บ้างก็มาปรึกษาปัญหาชีวิต เรามาถึงวัดตรงกับวันเสาร์ ในโบสถ์มีคนมาฟังพระสวด ประมาณ 6-7คน
ขณะพระสวดมนต์ พระและสามเณรจะตีกลอง ตีฉาบ เป่าสังข์ เป็นจังหวะไปด้วย ชาวบ้านจะนั่งเก้าอี้ ที่อยู่ติดกับผนังโบสถ์ ซึ่งรายล้อมไปด้วยพระพุทธรูป ด้านล่างจารึกชื่อคนสร้าง จำนวนบุตรและอายุ จากนั้นพวกเราก็ไปกราบท่านเจ้าอาวาส เพื่อถวายหนังสือต่างๆ แล้วก็ฉาย VCD ประวัติวัดพระธรรมกาย
และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งท่านก็ดูด้วยความสนใจ บางจังหวะพอเห็นภาพชาวพุทธจำนวนมากท่านก็อุทาน “อู้ฮู” ขึ้นมา พระที่ดูอยู่ข้างๆต่างมุงดูตาแทบไม่กระพริบ ชุดจีวรของพระที่นี่มักเป็นสีแดงหรือเหลือง ใส่รองเท้าแบบมองโกล ที่เหมือนรองเท้าบูทลวดลายสวยงาม ด้านในเป็นถุงเท้าขนแกะ