เปิดบันทึกการเดินทางของเจ้าหญิงมองโกลตอน..ควบม้าเหล็กนำธงธรรมห่มคลุมแผ่นดินรัสเซียกราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพอย่างสูงลูกชื่อ แพทย์หญิง วราธิป โอทกานนท์ (หมอติ๊บ) หรือที่คุณครูไม่ใหญ่เมตตาตั้งให้เป็นเจ้าหญิงมองโกลฯค่ะ เมื่อครั้งก่อนลูกได้นำเสนอบันทึกการเดินทางไปยังดินแดนของเจงกิสข่าน เล่าขานตำนานของพระพุทธศาสนาในมองโกเลีย และการทำหน้าที่ขยายวิชชาธรรมกายเป็นซีรี่ย์แรก และนับจากวันนั้น ก็มีผู้เข้าถึงธรรมและสันติสุขภายใน เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงนักร้องซูเปอร์สตาร์ของมองโกลเลียด้วยแต่ลูกกราบขออนุญาตอุบไว้ก่อนนะคะ เพราะมีเรื่องที่น่าสนใจแบบด่วนพิเศษและม่วนมากๆ เล่าถวายแด่คุณครูไม่ใหญ่ก่อนเจ้าค่ะ นั่นคือ ขณะนี้การเผยแผ่วิชชาธรรมกายได้รุกไปถึงแผ่นดินรัสเซียแล้ว ลูกขออนุญาตพาควบม้าเหล็ก (รถยนต์) ข้ามขุนเขามองโกล มุ่งตรงสู่ประเทศรัสเซียเลยนะคะภารกิจในการเดินทางสู่ประเทศรัสเซียของหมู่คณะในครั้งนี้ คือ การตามรอยพระพุทธศาสนาในดินแดนรัสเซีย และเชื่อมความสัมพันธ์พุทธบุตรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หมู่คณะของเราประกอบด้วย พระมุงจากาล, พระอาจารย์บุรินทร์ ฐิตกุสโล, กัลยาณมิตร ชัชวาลย์ เสตถาภิรมย์ (พี่ตั๋ง) และ อุบาสก พานิช จุฬาวไลวงษ์ ไปเยือนอดีตวัดที่เคยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาในรัสเซีย และไปกราบร่างของอดีตประมุขสงฆ์แห่งไซบีเรียตะวันออก และดินแดนรอบทะเลสาบไบคาล ผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า โดยท่านได้เตือนพระภิกษุในพุทธศาสนาล่วงหน้าว่า “สิ่งที่น่ากลัวสีแดงกำลังจะมา” เรื่องราวโดยละเอียดจะเป็นอย่างไร สิ่งที่น่ากลัวสีแดง คือ อะไร คำทำนายของท่านเป็นจริงหรือไม่ โปรดติดตามได้เลยค่ะ...หมู่คณะของเรา ออกเดินทางจาก เมืองดาร์ฮาน ของมองโกเลีย ตั้งแต่เช้าตรู่ วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 โดยทานอาหารเช้ากันที่บ้านของพี่ชายของคุณบิลลี่ หนึ่งในผู้ร่วมทาง ผู้เป็นเสมือนบอดี้การ์ด คุ้มภัยด้านภาษา เพราะเขาพูดภาษารัสเซียได้ค่ะ คุณบิลลี่ และ คุณอารูนโบล์ด สองผู้ใจบุญ อาสานำทางแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆพี่ชายของคุณบิลลี่กำลังจะสมัคร ส.ส. จึงเข้ามาขอศีลขอพร และให้พระสัมผัสศีรษะของเขา ทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปทั้งวันจากนั้นเราก็เริ่มเดินทางต่ออีกเล็กน้อย จนถึงชายแดน การผ่านด่านไปรัสเซียไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีรถรอผ่านด่านอีกกว่า 30คัน ต้องเข้าคิวนานมาก ถึงจะได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง...เราพบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของรัสเซีย ในสีหน้าที่น่าเกรงขาม สิ่งที่เขาทำ คือ ก้มๆเงยๆ มองสลับกันไปมาระหว่างพาสปอร์ตกับหน้าหลวงพี่บุรินทร์ ถึง 3-4ครั้ง จนอดลุ้นลึกๆไม่ได้ว่า เราจะผ่านไปได้ไหม เขาคงจะเพิ่งเห็นพระภิกษุเถรวาทเป็นครั้งแรกค่ะ แต่ในที่สุดพวกเราก็ผ่านกันไปได้ โดยใช้เวลากว่า 6ชั่วโมง และต้องทนหนาวกัน กับอุณหภูมิภายนอกรถ กว่า -12องศาเซลเซียสหนทางข้างหน้าที่รอเราอยู่ คือ เมืองอูลันอูเด ซึ่งไปอีกไกลกว่า 300 กิโลเมตร เมืองนี้อยู่ในเขตการปกครองไซบีเรียของรัสเซีย และพระพุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองในอดีต เรามาถึงตัวเมืองอูลันอูเด ในเวลากลางคืน ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวบูเรียต หน้าตาคล้ายคนมองโกเลีย (ประมาณ30เปอร์เซ็นต์ของชาวอูลันอูเด หน้าตาจะเป็นแบบเอเชีย และอีก70เปอร์เซ็นต์ หน้าตาจะเป็นแบบยุโรป) คืนนี้ แม้จะเหนื่อยกาย แต่ก็ไม่ลืมทำใจให้ใส และหัวใจที่ยังแข็งกล้าพร้อมสู้กับวันใหม่ต่อไปค่ะวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 พอตื่นเช้ามา เราก็ทานอาหารมื้อแรก คือ มาม่า และออกจากที่พักด้วยความระมัดระวัง เพราะพื้นเป็นน้ำแข็งลื่นมาก เมื่อเปิดรถก็พบว่าขวดน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ แปรสภาพเป็นน้ำแข็งไปแล้วทั้งขวด โดยบุคคลที่สู้ชีวิตสุดขีดประจำคณะ คือ ช่างภาพค่ะ เพราะเวลาหนาว ปกติทุกคนจะต้องใส่ถุงมือ แต่ช่างภาพจำเป็นต้องถอดถุงมือขณะกดชัตเตอร์ เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งสู้ชีวิตได้ประมาณ 3วินาทีเท่านั้น เสร็จแล้ว ต้องรีบสวมถุงมือ แล้วถอดออกมาใหม่ เพื่อกดชัตเตอร์ครั้งต่อไป จนได้ภาพสวยๆมาฝากนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยากันค่ะสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูลันอูเด คือ ประติมากรรมรูปศีรษะขนาดใหญ่ของเลนิน ผู้นำคนสำคัญในการรวมสหภาพโซเวียต เราก็ไม่ลืมที่จะนำธงสัญลักษณ์ของมหาธรรมกายเจดีย์ กางออกเพื่อถ่ายรูปเป็นหลักฐานยืนยันว่า เรามาเยือนรัสเซียแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ โดยมีศีรษะของเลนินเป็นพยานจากนั้น เราเดินทางต่อไปยัง วัดอีฟวอลกินสกี้ ซึ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และเห็นทิวเขาอยู่ไกลๆ ที่นี่มีพระภิกษุประมาณ 150รูป เครื่องแต่งกายของพระที่นี่ มีสีออกแดงๆ ผ้าหนา และมีการปรับรูปแบบเป็นแบบเสื้อแขนยาวเราได้พบกับ ท่านไบยิง ซึ่งเป็นพระสอนสมาธิ(Meditation) ท่านได้เมตตาพาชมวัด พระพุทธรูปที่นี่จะมีพุทธลักษณะหลากหลาย แต่พอเป็นพระศากยมุนี จะเป็นพระพุทธรูปเกตุดอกบัวตูมต่างจากพระพุทธรูปองค์อื่นๆ เราได้ไปกราบท่านรองเจ้าอาวาส คำถามแรกที่ท่านรองเจ้าอาวาสถามหลวงพี่ของเราก็คือ “ใส่ชุดแบบนี้พอ หรือ you might be death (แปลว่า หลวงพี่อาจตายได้นะ) แต่ตอนนี้ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่แล้ว แค่ -16องศาเซลเซียส ถ้าหนาวที่สุดประมาณ –40องศาเซลเซียส”หลวงพี่บุรินทร์ได้แนะนำตัวว่า มาจากวัดพระธรรมกาย ประเทศไทย และมาในฐานะพุทธบุตรผู้มาเยือนดินแดนพระพุทธศาสนา เพื่อเชื่อมพุทธบุตรเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งท่านรองเจ้าอาวาสก็เห็นด้วยโดยกล่าวว่า “เรามีพ่อเดียวกันคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ขณะนี้ทางวัดอีฟวอลกินสกี้ กำลังมีการสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์อยู่ พวกเราจึงถวายปัจจัยในนาม พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อร่วมสร้างด้วย และได้นิมนต์มาร่วมงานรวมพุทธบุตรจากทั่วโลก ณ มหารัตนวิหารคด ด้วยค่ะเราเดินมาถึงอาคารผนังเป็นกระจกแห่งหนึ่ง มีต้นโพธิ์ปลูกอยู่ข้างใน ได้ทราบว่า เป็นต้นโพธิ์ที่มาจากประเทศอินเดีย ตอนนี้มีอายุ 30ปีแล้ว เราสงสัยว่า ทำไมจึงต้องปลูกในอาคารล้อมกระจกด้วย คำตอบก็คือ เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับต้นโพธิ์ เพราะอากาศหนาวเย็นอาจทำให้ต้นโพธิ์ตายได้จากการเดินทางในครั้งนี้ ทำให้ลูกๆได้ประจักษ์ว่า พระสงฆ์ที่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ ล้วนรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างรักพระพุทธศาสนา และทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ท่านปรารถนาที่จะได้ร่วมกันทำภารกิจ ขยายพระธรรมคำสอนให้กว้างไกลออกไป ดังที่คุณครูไม่ใหญ่ มักรำพึงให้ฟังอยู่เสมอ ทำให้ลูกๆมีกำลังใจเดินหน้า เพื่อสานฝันอันยิ่งใหญ่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดและนี่ก็เป็นเรื่องราวปูพื้นเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยก่อนนะคะ สำหรับฉบับวันพรุ่งนี้ เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องราวคำทำนายของอดีตประมุขสงฆ์ ผู้มีญาณหยั่งรู้และสังขารไม่เน่าเปื่อย คำทำนายว่าไว้อย่างไร พรุ่งนี้อย่าพลาดค่ะ...
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-2797.png)
http://goo.gl/hVhRy