โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: หลวงพ่อคะ พ่อแม่ควรจะเริ่มอบรมลูกตั้งแต่อายุเท่าไรคะ จึงจะไม่สายเกินไป?
คำตอบ: ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า การถ่ายทอดนิสัยใจคอจากพ่อแม่ไปให้ลูกนั้นมี 2 ลักษณะ หรือ 2 ช่วง คือ1. การถ่ายทอดลักษณะนิสัยใจคอทางกรรมพันธุ์ การถ่ายทอดลักษณะนี้ต้องทำในช่วงตั้งแต่ลูกยังไม่มาเกิด โดยทั่วไปเมื่อปฏิสนธิวิญญาณจะมาเกิดในครรภ์ของผู้ใด เขาจะต้องมีกรรม คือบุญหรือบาปใกล้เคียงกับผู้ที่จะมาเป็นพ่อเป็นแม่ในขณะนั้นดังนั้นถ้าคุณพ่อ คุณแม่มีร่างกายแข็งแรง ความประพฤติดี มีจิตใจดีงามแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้ปฏิสนธิวิญญาณที่ดี มาถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ การอบรมลูก จึงควรเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ คือคุณแม่ต้องอบรมความประพฤติของตัวเองให้ดี พร้อมทั้งกาย วาจา ใจ สิ่งที่ไม่ดีให้เลิกเสียให้หมด รักษาศีล 5 ให้ดี เป็นการเตรียมพร้อมให้ปฏิสนธิวิญญาณที่ดีมาเกิดนั่นคือ อย่างช้าที่สุด จะต้องเริ่มอบรมตัวเองให้ดีพร้อมในทันทีที่แต่งงาน และในทันทีที่รู้ตัวเองว่าตั้งครรภ์ ก็ยิ่งต้องพยายามทะนุถนอมลูกในครรภ์ให้ยิ่งขึ้นไปอีก คือต้องมีความระมัดระวังตัวให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินการเคลื่อนไหวทุกๆ อิริยาบถ อาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะพวกที่รสจัด พวกของหมักดองของเมา พวกยาต่างๆ หรือแม้แต่อารมณ์ที่ไม่ดี ก็ต้องระวังอย่าให้มากระทบกระทั่ง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่ออุปนิสัยใจคอของเด็กทั้งสิ้น2. การถ่ายทอดนิสัยใจคอจากสิ่งแวดล้อม หรือการอบรมเมื่อลูกคลอดออกมาลืมตาดูโลก ต้องรีบอบรม อย่าไปคิดว่าเด็กทารกไม่รู้อะไร เพราะแม้แต่การให้นมเป็นเวลา ก็เป็นการเพาะนิสัยเด็กให้เป็นคนตรงต่อเวลา การเปลี่ยนผ้าอ้อมในทันทีที่เด็กทำเปียก ก็เป็นการเพาะนิสัยรักความสะอาด แม้ที่สุดการพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานก็เป็นการเพาะนิสัยอ่อนโยนวิธีการปลูกฝังให้มีลูกหลานที่ดีคุณธรรมที่ต้องอบรมให้มาก หรืออบรมตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเด็กโตหรือเด็กเล็ก ก็คือ1. ปัญญา โดยฝึกให้เป็นคนมีเหตุผล รู้จักคิดพิจารณาเอง ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ถ้าทำได้สำเร็จ เด็กจะมีสติปัญญาเฉียบแหลม2. ความเมตตากรุณา โดยอาจฝึกให้เด็กรักสัตว์ รักต้นไม้ เป็นคนอ่อนโยน มีมนุษย์สัมพันธ์ดี รู้จักให้อภัย3. ความมีวินัย โดยฝึกให้เด็กเป็นคนตรงต่อเวลา รักษาความสะอาด เป็นคนซื่อตรง มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจเมื่อเด็กได้รับการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เล็ก แล้วโตขึ้นก็จะสามารถรองรับคุณธรรมความดีอย่างอื่น ที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ถ่ายทอดให้ได้อย่างเต็มที่ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากจะได้ลูกดีอย่างไร ก็ให้อบรมตัวเองให้ดีอย่างนี้ก่อนที่จะมีลูก แล้วต้องอบรมตัวเองให้เคร่งครัดยิ่งๆ ขึ้นไป ในกรอบคุณธรรม 3 ประการ คือให้มีปัญญา ให้มีเมตตากรุณา และให้มีระเบียบวินัย ดังที่กล่าวข้างต้นคำถาม: การทอดทิ้งครอบครัวออกบวช จะไม่บาปหรือ ในกรณีที่แต่งงาน มีบุตรแล้ว?
คำตอบ: ถ้าเราหาเงินหาทองทิ้งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว และมากพอที่จะสามารถเลี้ยงลูกได้เป็นอย่างดี ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร หรือจัดการให้ลูกมีงานทำ มีอาชีพเรียบร้อยไปแล้ว ตัวเองจะบวชก็บวชได้ แต่ว่าแน่นอน ถ้าเมียก็อดๆ อยากๆ ลูกก็อดๆ อยากๆ แล้วตัวมาบวช มันก็ไม่ถูก เพราะว่ามันจะไม่สงบ ทั้งลูกทั้งเมีย ทั้งตัวเองด้วยการทอดทิ้งครอบครัวออกบวชจะบาปหรือไม่ในกรณีนี้รอให้ลูกโตก่อนก็แล้วกัน ฟังให้ดีนะ สำหรับคนที่ยังไม่แต่งงาน ถ้าแต่งแล้วก็มักมีเรื่องให้ต้องมาบ่นอย่างนี้แหละคำถาม: วันหยุดถ้าเปรียบเทียบระหว่างดิฉันทำงานที่บ้าน ช่วยงานพี่สาวและแม่ ช่วยซักผ้า หุงข้าว กับการไปวัดไปปฏิบัติธรรมวันอาทิตย์ อย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ?
คำตอบ: ก็ทำให้ครบทั้ง 2 อย่างสิ เช้าก็ตื่นแต่เช้า รีบซักผ้า หุงข้าว เสร็จแล้วค่อยมาวัด เพราะรถที่จะมาวัดนี้ก็ได้จัดไว้ตั้งหลายจุดด้วยกันนะ แต่ละจุดคันสุดท้ายก็ออกสายหน่อย ไปดูจัดสรรแบ่งเวลาให้ดี จะได้บุญหลายๆ ประเภทนะคุณแม่พูดว่าการที่คนเราละทิ้งครอบครัวไปวัด จะไม่ได้บุญหรอก ดิฉันชวนคุณแม่มาวัด คุณแม่ไม่มา ที่แม่พูดจริงหรือเท็จอย่างไร?คุณแม่พูดว่าการที่คนเราละทิ้งครอบครัวไปวัดจะไม่ได้บุญจริงหรือก็ขึ้นอยู่กับสภาพตัวเราเองนะ ถ้าสภาพบ้านเราย่ำแย่มาก อดตายแน่ๆ เลย ถ้ามาคลุกคลีอยู่ที่วัดทั้งวัน ในกรณีนี้ต้องหากินกันก่อนละ รอจนกว่าจะมีกินมีใช้ตามอัตภาพกันทั้งครอบครัวแล้ว พอจะวางงานได้ ก็ต้องแบ่งเวลามาวัดกันนะ อย่าไปกังวลเรื่อคำพูดของคุณแม่เลย ตรองเหตุผลด้วยตนเอง แล้วที่สำคัญอย่าไปเถียงท่านเข้าล่ะ
http://goo.gl/XyUIl