จากตอนที่แล้ว ในพระนครปัญจาละนั่นเอง มีนักบวชหญิงคนหนึ่งเป็นบัณฑิต ฉลาดในอรรถและธรรม นามว่า พระแม่เภรี ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าจุลนีในฐานะนักบวชประจำราชสกุล อยู่มาวันหนึ่ง พระแม่เภรีเข้ามาฉันในวังตามปกติ ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว ก็เดินออกจากวังด้วยท่วงทีสำรวม เป็นเวลาพอดีกับที่มโหสถกำลังจะขึ้นเฝ้าพระเจ้าจุลนีพระแม่เภรีดำริว่า เราจักทดลองดูเสียหน่อยว่า เขาเป็นบัณฑิตหรือมิใช่บัณฑิต จึงแบมือเหยียดออกไปข้างหน้า ความหมายในใจว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงอุปถัมภ์ท่านเป็นอย่างดีหรือไม่”มโหสถจึงกำมือยื่นให้ มีความหมายว่า “ท่านผู้เจริญ จนถึงบัดนี้ พระองค์ก็ยังมิได้พระราชทานสิ่งใดๆ นอกเหนือจากที่ทรงพระราชทานให้แล้วขอรับ”พระแม่เภรีจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะ ต้องการสื่อสารว่า “แน่ะบัณฑิต ก็ในเมื่อท่านลำบาก เหตุใดจึงไม่บวชเหมือนอย่างอาตมาเล่า”มโหสถจึงเอามือลูบท้อง พระแม่เภรีก็รู้อีกเช่นกันว่า บัดนี้มโหสถยังไม่พร้อมที่จะบวช เพราะยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา พระแม่เภรีจึงชื่นชมยินดีเป็นอันมากที่ปัญจาลนครได้มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาสถิตอยู่เป็นมิ่งขวัญเหตุการณ์ทั้งหมดที่มโหสถได้พบกับพระแม่เภรี ณ ท้องพระลานนั้น ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่าบริวารคนสนิทของพระนางนันทาเทวี ทั้งหมดจึงพากันไปเฝ้าพระนางนันทาเทวีถึงพระราชวัง ขณะนั้น พระนางนันทาเทวีแต่งพระองค์เสร็จแล้ว ก็ประทับนั่งเหนือพระแท่น สตรีเหล่านั้นเข้าไปยังพระตำหนักแล้ว ก็รีบถวายบังคมแล้วพลางทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะมากราบทูลเพคะ”“ฮึ...เจ้ามีเรื่องอะไรกันรึ เกี่ยวข้องกับมโหสถหรือไม่ล่ะ” พระนางทรงซักด้วยความสนพระทัย“เกี่ยวด้วยแน่นอนเพคะ เมื่อสักครู่นี่เอง พวกหม่อมฉันเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของมโหสถ เห็นมโหสถทักทายพระแม่เภรีด้วยภาษาใบ้ ทำไม้ทำมือกันใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะพูดคุยอะไรกันเลย น่าสงสัยเหลือเกินเพคะ”“อย่างไรกัน ที่ว่าทำไม้ทำมือน่ะ” พระนางตรัสซักด้วยร้อนพระทัยสตรีนางหนึ่งรีบทูลว่า “พระแม่เภรีแบมือยื่นไปข้างหน้า ส่วนมโหสถก็กำมือแล้วยื่นออก พอพระแม่เภรียกมือลูบศีรษะ มโหสถก็เอามือลูบท้อง พวกหม่อมฉันตีความหมายไม่ออกจริงๆเพคะ”“หม่อมฉันว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเพคะ ถึงต้องพูดกันด้วยภาษาใบ้ เพื่อมิให้ใครรู้” อีกนางหนึ่งกล่าวเสริม“นั่นสิ ต้องเป็นเรื่องร้ายแน่ทีเดียว นี่พระแม่เภรีรู้จักกับมโหสถมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือพระแม่เภรีของเราเป็นพวกเดียวกับมโหสถ” พระนางรับสั่งด้วยทรงฉงนพระทัย“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ เป็นไปได้ไหมเพคะ ที่คนทั้งสองคบคิดกันเพื่อปลงพระชนม์เจ้าเหนือหัวของเรา แล้วครองบัลลังก์เสียเอง”พระนางทรงตกพระทัย เปล่งพระอุทานขึ้นว่า “พระแม่เภรีน่ะหรือ เป็นไปได้หรือนี่”“โถ...พระแม่เจ้า...จะไปเอาอะไรกับนักบวชเล่าเพคะ ความมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เข้าใครออกใครดอกนะเพคะ ถึงแม้จะบวชแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าจะสละโลกียสุขกันได้ทุกคน ที่บวชแต่กายยังมิได้บวชใจก็มีถมไป หรือไม่พระแม่เภรีก็อาจถือเพศนักบวชบังหน้าก็เป็นได้นะเพคะ”หญิงนางนั้นยังมิทันจะกล่าวจบ อีกนางหนึ่งก็รีบต่อเติมเสริมความว่า “เห็นจะจริงเพคะ หม่อมฉันว่าพระแม่เภรีน่ะ คงรู้จักกับมโหสถมานานแล้ว และคอยนำเอาความในวัง ไปบอกแก่มโหสถอยู่บ่อยๆก็ได้นะเพคะ ข้าแต่พระแม่เจ้า โดยปกติวิสัยของมนุษย์ เมื่อมีความต้องการก็ย่อมต้องบำบัด เมื่อมีสิ่งเร้าก็ย่อมมีการตอบสนอง มโหสถฉลาดเห็นปานนั้น ต่อให้เป็นพระแม่เภรีก็ตามทีเถอะ มีหรือที่จะไม่ยอมรับข้อเสนอของมโหสถ ในเมื่อต่างคนต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละเพคะ”พระนางนันทาเทวีสดับดังนั้น ก็ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังทรงตริตรองอะไรสักอย่างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงรับสั่งขึ้นว่า “น่าคิดเหมือนกัน มโหสถเห็นจะคิดการใหญ่เป็นแน่ อืม...เราพอจะทราบแล้วล่ะ”“ทราบอะไรหรือเพคะ” บริวารหญิงทูลถาม“ก็การที่พระแม่เภรีแบมือเหยียดออกไปนั้น คงหมายความว่า “เหตุใดจึงไม่จัดการพระราชาให้ราบเรียบเสียเล่า ต้องปราบเสียให้เลี่ยนเตียนเหมือนฝ่ามือ”มโหสถกำมือตอบ คงหมายความว่า “จักต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย หากทำหละหลวมไป อาจเป็นเรื่องได้”แล้วที่พระแม่เภรีลูบศีรษะ ก็คงต้องหมายความว่า “จับดาบแล้วตัดพระเศียรชิงเอาราชสมบัติเสียเลยเป็นไร ทุกอย่างก็จะเป็นอันสิ้นสุด”แต่ที่มโหสถกลับเอามือลูบท้อง คงจะค้านว่า ต้องตัดกลางลำตัวด้วยถึงจะดี โอ...คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจนัก”เหล่าหญิงบริวารพากันตกอกตกใจ ทูลถามขึ้นพร้อมกันว่า “แล้วเราควรทำอย่างไรกันดีล่ะเพคะ”“พวกเจ้าก็จงกราบทูลพระราชาซิ จะได้เป็นความดีความชอบของพวกเจ้า ที่สู้อุตส่าห์สอดส่องป้องกันภัยที่จักมาถึงพระองค์” พระนางตรัสในที่สุดสตรีทั้งสามนางรับพระเสาวนีย์แล้ว ก็รีบพากันไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี กราบถวายบังคม แล้วก็ทูลเรื่องราวทั้งหมดตามที่พวกตนได้เห็นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะแปลความหมายในสิ่งที่พวกตนเห็นเหมือนอย่างที่พระนางนันทาเทวีตรัสไว้ ครั้นแล้วจึงกราบทูลเสริมอีกว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ขอพระองค์อย่าได้ทรงลังเลพระทัยอยู่เลยเพคะ ทางที่ดีพระองค์ควรจะรีบจัดการฆ่ามโหสถเสียโดยเร็ว เพราะหากทรงชักช้าอยู่ก็จะมิทันการณ์นะ เพคะ”ส่วนว่าพระเจ้าจุลนีจะทรงหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของเหล่าสตรีทั้งสามนางหรือไม่ แล้วพระองค์จะมีวิธีวินิจฉัยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/hNXtD