ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2556คุณครูไม่ใหญ่มีเรื่องแถมๆ เกี่ยวกับเรื่องผีๆ มาเล่าให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้รับฟังกัน ซึ่งคุณครูไม่ใหญ่ก็เคยได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้พวกเราได้รับฟังกัน ในโรงเรียนอนุบาลฯ มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แต่ในวันนี้คุณครูไม่ใหญ่จะมาลงรายละเอียดเพิ่มเติมให้ลึกลงไปอีกนิดหน่อย พอเป็นแนวทางที่จะให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้ไปศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองคำว่า “ผี” นั้น ความจริงแล้วมาจากคำว่า “ภี” ในภาษาบาลีที่แปลว่า “กลัว”ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกๆ นักเรียนอยากจะไปเห็นด้วยตาของมนุษย์ เพื่อให้เกิดรสชาติของชีวิตดี หรืออยากจะไปเห็นด้วยตาขององค์พระภายใน ซึ่งก็จะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง สำหรับคำว่า “ผี” นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็มาจากคำว่า “ภี” ในภาษาบาลีที่แปลว่า “กลัว” นั่นเองคำว่า “ผี” นั้น หมายถึง อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียดในระดับภาคพื้นมนุษย์หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือภุมมะเทวา เป็นต้น ซึ่งพวกผีบ้านผีเรือน หรือภุมมะเทวาระดับล่าง ที่พวกเราได้รับฟังรายละเอียดแบบคร่าวๆ กันไปแล้วนั้น ก็จัดว่าเป็นผีประเภทหนึ่งในหลายๆ ผีผี หมายถึง อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียดในระดับภาคพื้นมนุษย์หลายๆ อย่างและถ้าหากเราจะพูดให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ แล้ว คำว่า “ผี” นั้นก็อาจจะคล้ายๆ กับคำว่า “คน” ซึ่งเป็นคำกลางๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ, ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ เป็นต้น หรืออย่างคำว่า “ต้นไม้” ก็ยังมีการแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ไม้ล้มลุก, ไม้ดอกไม้ประดับ หรือไม้ยืนต้น เป็นต้นสำหรับคำว่า “ผี” ก็เช่นเดียวกัน มีการแบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ดังต่อไปนี้คือ ประเภทที่ 1 อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ไป แล้วก็กลายไปเป็นกายละเอียดที่กำลังรอคอยการส่งผลของบุญและบาปอยู่ว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิใด เช่นบางเคสก็วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง หรือเกินกว่านั้นบ้าง เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ผลของบุญและบาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ช่องส่งผลตอนไหนประเภทที่ 1 อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ไปประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “ผีเร่ร่อน” คือพวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอที่จะไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นผีที่เร่ร่อนไปมาอยู่ภายในเมืองมนุษย์ และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีบุญพอที่จะมีเรือนเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นพวกไม่มีบ้าน นั่นเองประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือผีเร่ร่อนสำหรับรูปร่างลักษณะของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอม และก็ต้องคอยอาศัยอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้าในการประทังชีวิตไปวันๆ โดยพวกเขาจะกินโอชารสหรือส่วนละเอียดของอาหาร ส่วนว่าโอชารสของอาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของอาหาร กล่าวคือ ถ้าเป็นอาหารที่จัดไว้เพื่อเซ่นไหว้ โอชารสของอาหารก็จะดีและประณีตกว่าโอชารสของอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้วพวกสัมภเวสีจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอมและเมื่อพวกสัมภเวสีกินโอชารสของอาหารดังกล่าวเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนหยาบที่ปราศจากโอชารสของอาหารเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าอาหารส่วนหยาบนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สารอาหารและรสชาติของอาหารได้สูญสลายหายไปแล้วนั่นเอง ส่วนอากัปกิริยาในการกินโอชารสของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหายเป็นปกติพวกสัมภเวสีจะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหายส่วนว่า พวกเขาจะมีความหิวกระหายมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในพื้นที่นั้นๆ มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรือมีอาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามากน้อยขนาดไหน คือถ้าหากมีอาหารดังกล่าวน้อย พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายมาก แต่ถ้าหากมีอาหารดังกล่าวมาก พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายน้อย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความหิวกระหายน้อยแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความหิวกระหายของพวกเขา ก็ยังมีปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ที่หิวโซแบบมากๆ มากๆความหิวกระหายของพวกสัมภเวสีแต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกสัมภเวสีจะไม่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรมที่มาหล่อเลี้ยงพวกเขาเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุดนั่นเองด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรม ทำให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุดเรื่องราวของสัมภเวสีนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเราจะมาลงรายละเอียดกันทั้งหมด มันก็จะยาวมากๆ เอาไว้เราค่อยมาศึกษาเรื่องของสัมภเวสีกันต่อไปในภายหลัง ส่วนผีประเภทที่ 3 นั้นก็คือ พวกภุมมะเทวาระดับล่าง หรือพวกผีบ้านผีเรือน ที่พวกเราได้รับฟังรายละเอียดแบบคร่าวๆ กันไปแล้วนั่นเอง
และเมื่อพูดถึงคำว่า “ผี” แล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงภูติและปีศาจตามไปด้วย เพราะเรามักจะได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหูว่า ภูติผีปีศาจ ซึ่งคำว่า “ภูติผีปีศาจ” นั้น ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคำก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายเฉพาะเป็นของตัวเอง คือภูติก็อย่างหนึ่ง ผีก็อย่างหนึ่ง ปีศาจก็อีกอย่างหนึ่ง สำหรับคำว่า “ภูติ” นั้น ที่ผ่านๆ มา คุณครูไม่ใหญ่ได้เคยยกตัวอย่างให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้รับฟังกันไปแล้วเป็นบางส่วน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องภูติที่เป็นผีกระสือ หรือผีกระหัง เป็นต้นภูติอีกประเภทหนึ่งที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับวิชาไสยเวทย์สายขาว ที่เป็นวิชาอาคมที่ใช้ในการรักษาและช่วยเหลือมนุษย์ สำหรับภูติประเภทนี้ จะเป็นกายละเอียดที่มีลักษณะภายนอกที่หลากหลาย แลดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากนัก ยกตัวอย่างเช่น บางตนก็มีร่างกายซูบผอมและมีผิวหนังที่เหี่ยวแห้งช้ำเลือดช้ำหนอง, บางตนก็มีนิ้วที่ยาวกว่าปกติ หรือบางตนก็มีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ แต่ก็ไม่ถึงกับสูงใหญ่เท่ากับเปรต เป็นต้นและที่สำคัญ พวกภูติประเภทนี้จะมีฤทธิ์ประจำตัวอยู่เป็นปกติ ส่วนว่าฤทธิ์ประจำตัวของภูติแต่ละตนจะมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติมหลังจากที่พวกเขาไปบังเกิดเป็นภูติแล้ว สำหรับการการฝึกฝนเพิ่มเติมหลังจากที่พวกเขาไปบังเกิดเป็นภูติแล้วนั้น ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือ1. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง2. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยการไปเรียนกับอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า3. ฝึกฝนเพิ่มเติมโดยมีอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า คอยส่งฤทธิ์และส่งวิชามาให้พวกภูติประเภทนี้จะมีฤทธิ์ประจำตัวอยู่เป็นปกติขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติมและยิ่งพวกภูติประเภทนี้มีอายุที่ยืนยาวมากเท่าไหร่ ฤทธิ์ของพวกเขาก็จะยิ่งแก่กล้าเพิ่มมากขึ้นตามอายุของพวกเขาไปด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นภูติประเภทนี้จะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร และพวกเขาจะต้องไปบังเกิดอยู่ ณ ที่แห่งไหนนั้น เราก็คงจะต้องมาติดตามกันต่อในตอนต่อไป
http://goo.gl/BHpyI