สมบัติผู้ดีหนังสือ "สมบัติผู้ดี"หนังสือสมบัติผู้ดี สมบัติที่ดีนี้มาจากไหน
หนังสือสมบัติผู้ดี
สมบัติผู้ดีคำว่า “สมบัติผู้ดี” นั่นไม่ใช่คำพูดเปรียบเปรย สั่งสอนแต่เพียงอย่างเดียว คำว่า “สมบัติผู้ดี” นั่นเป็นชื่อหนังสือ ซึ่งเรียบเรียงโดยเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) ท่านทรงเรียบเรียงไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2455หนังสือสมบัติผู้ดีเล่มนี้เป็นคู่มือสอนกุลบุตร กุลธิดาในสมัยก่อน นอกจากนั้นผ่านมา 100 ปี แล้ว เรายังนิยมพูดถึงกันว่าหนังสือสมบัติผู้ดีนั้นสอนอะไรบ้าง วันนี้เราจึงมาเปิดกรุสมบัติผู้ดีว่ามีอะไรบ้างคำว่าผู้ดีเราคงได้ยินกันมาบ้างแต่ความหมายในปัจจุบันอาจจะตีความแตกต่างไปจากเมื่อร้อยปีที่แล้วบ้าง เพราะว่าอาจจะมีบางคนที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ดีแต่คุณสมบัติอาจจะไม่คบเหมือนร้อยปีที่แล้ว วันนี้จึงได้นำสมบัติผู้ดีมาขยายความว่าคำจำกัดความสมบัติผู้ดีเป็นอย่างไรหนังสือสมบัติผู้ดีนี้มีกำหนดคุณสมบัติผู้ดีไว้ 10 ประการ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของกาย วาจา ใจ คือ กายจริยา วจีจริยา และมโนจริยาหนังสือสมบัติผู้ดี หนังสืออ่านเพิ่มเติม
บทที่ 1 : ผู้ดี ย่อมรักษา ความเรียบร้อย
กายจริยา1. ย่อมไม่ใช้กิริยาอันข้ามกรายบุคคล2. ย่อมไม่อาจเอื้อมในที่ต่ำสูง3. ย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน4. ย่อมไม่เสียดสี กระทบกระทั่งกายบุคคล5. ย่อมไม่ลุกนั่งเดินเหินให้พรวดพราดโดนผู้คนหรือสิ่งของแตกเสียหาย
6. ย่อมไม่ส่งของให้ผู้อื่น ด้วยกิริยาอันเสือกไสผลักโยน7. ย่อมไม่ผ่านหน้าหรือบังตาผู้อื่น เมื่อเขาดูสิ่งใดอยู่ เว้นแต่เป็นที่เฉพาะไป
8. ย่อมไม่อื้ออึง เมื่อเวลาผู้อื่นทำกิจ9. ย่อมไม่อื้ออึง ในเวลาประชุมสดับตรับฟัง10.ย่อมไม่แสดงกิริยาตึงตัง หรือพูดจาอึกทึกในบ้านแขกวจีจริยา1. ย่อมไม่สอดสวนวาจาหรือแย่งชิงพูด2. ย่อมไม่พูดด้วยเสียงอันดังเหลือเกิน3. ย่อมไม่ใช้เสียงตวาด หรือพูดจากระโชกกระชาก4. ย่อมไม่ใช้วาจาอันหักหาญดึงดัน5. ย่อมไม่ใช้ถ้อยคำอันหยาบคายมโนจริยา1. ย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส2. ย่อมไม่บันดาลโทสะให้เสียกิริยาบทที่ 2 : ผู้ดี ย่อมไม่ทำอุจาดลามก
กายจริยา1. ย่อมใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวอันสะอาด และแต่งโดยเรียบร้อยเสมอ2. ย่อมไม่แต่งตัวในที่แจ้ง3. ย่อมไม่จิ้มควักล้วงแคะ แกะเการ่างกายในที่ประชุมชน4. ย่อมไม่กระทำการ ที่ควรจะทำในที่ลับในที่แจ้ง5. ย่อมไม่หาวเรอ ให้ปรากฏในที่ประชุมชน6. ย่อมไม่จามด้วยเสียงอันดัง และโดยไม่ป้องกำบัง7. ย่อมไม่บ้วนขากด้วยเสียงอันดัง หรือให้เปรอะเปื้อน ให้เป็นที่รังเกียจ8. ย่อมไม่ลุกลนเลอะเทอะ มูมมามในการบริโภค9. ย่อมไม่ถูกต้อง หรือหยิบยื่นสิ่งของ ที่ผู้อื่นจะบริโภคด้วยมือตน10. ย่อมไม่ล่วงล้ำ ข้ามหยิบ ของบริโภคผ่านหน้าผู้อื่น ซึ่งควรขอโทษ และขอให้เขาส่งให้11. ย่อมไม่ละลาบละล้วง เอาของผู้อื่นมาใช้ในการบริโภค เช่น ถ้วยน้ำ และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น12. ย่อมไม่เอาเครื่องใช้ของตน เช่น ช้อนส้อมไปล้วงตัก สิ่งบริโภคซึ่งเป็นของกลาง13. ย่อมระวัง ไม่พูดจาตรงหน้าผู้อื่น ให้ใกล้ชิดเหลือเกินวจีจริยา1. ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครก พึงรังเกียจในท่ามกลางประชุมชน2. ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งควรปิดบัง ในท่ามกลางประชุมชนมโนจริยา1. ย่อมพึงใจที่จะรักษาความสะอาดบทที่ 3 : ผู้ดี ย่อมมีสัมมาคารวะ
กายจริยา1. ย่อมนั่งด้วยกิริยาอันสุภาพ เฉพาะหน้าผู้ใหญ่2. ย่อมไม่ขึ้นหน้าผ่านผู้ใหญ่3. ย่อมไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่4. ย่อมแหวกที่ หรือให้ที่นั่งอันสมควรแก่ผู้ใหญ่ หรือผู้หญิง5. ย่อมไม่ทัดหรือคาบบุหรี่ คาบกล้อง และสูบให้ควันไปรมผู้อื่น6. ย่อมเปิดหมวก เมื่อเข้าชายคาบ้านผู้อื่น7. ย่อมเปิดหมวกในที่เคารพ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่ว่าแห่งศาสนาใด8. ผู้น้อยย่อมเคารพผู้ใหญ่ก่อน9. ผู้ชายย่อมเคารพผู้หญิงก่อน10. ผู้ลาย่อมเป็นผู้เคารพก่อน11. ผู้เห็นก่อนโดยมากย่อมเคารพก่อน12. แม้ผู้ใดเคารพตนก่อน ย่อมต้องตอบเขาทุกคน ไม่เฉยเสียวจีจริยา1. ย่อมไม่พูดจาล้อเลียนหลอกลวงผู้ใหญ่2. ย่อมไม่กล่าวร้าย ถึงญาติมิตรที่รักใคร่นับถือ ของผู้ฟังแก่ผู้ฟัง3. ย่อมไม่กล่าววาจา อันติเตียนสิ่งเคารพ หรือที่เคารพของผู้อื่นแก่ตัวเขา4. เมื่อจะขอทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ย่อมต้องขออนุญาตตัวเขาเสียก่อน5. เมื่อตนทำพลาดพลั้งสิ่งใด แก่บุคคลผู้ใด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ6. เมื่อผู้ใดได้แสดงคุณต่อตนอย่างไร ควรออกวาจาขอบคุณเขาเสมอมโนจริยา1. ย่อมเคารพยำเกรง บิดา มารดา และอาจารย์2. ย่อมนับถือนอบน้อมต่อผู้ใหญ่3. ย่อมมีความอ่อนหวานแก่ผู้น้อย
บทที่ 4: ผู้ดี ย่อมมีกิริยาเป็นที่รักกายจริยา1. ย่อมไม่ฝ่าฝืนเวลานิยม คือ ไม่ไปใช้กิริยายืน เมื่อเขานั่งกับพื้น และไม่ไปนั่งกับพื้น เมื่อเวลาเขายืนเดินกัน 2. ย่อมไม่ไปนั่งนานเกินสมควร ในบ้านของผู้อื่น3. ย่อมไม่ทำกิริยารื่นเริงเมื่อเขามีทุกข์4. ย่อมไม่ทำกิริยาโศกเศร้าเหี่ยวแห้ง ในที่ประชุมรื่นเริง5. เมื่อไปสู่ที่ประชุมรื่นเริง ย่อมช่วยสนุกชื่นบานให้สมเรื่อง6. เมื่อเป็นเพื่อนเที่ยว ย่อมต้องกลมเกลียว และร่วมลำบาก ร่วมสนุก7. เมื่อตนเป็นเจ้าของบ้าน ย่อมต้องต้อนรับ และเชื้อเชิญแขกไม่เพิกเฉย8. ย่อมไม่ทำกิริยาบึกบึนต่อแขก9. ย่อมไม่ให้แขกต้องคอยนาน เมื่อเขามาหา10. ย่อมไม่จ้องดูนาฬิกา ในเวลาที่แขกยังนั่งอยู่11. ย่อมไม่ใช้กิริยาอันบุ้ยใบ้ หรือกระซิบกระซาบกับผู้ใด ในเวลาเมื่อตนอยู่เฉพาะหน้าผู้หนึ่ง12. ย่อมไม่ใช้กิริยาอันโกรธเคือง หรือดุดัน ผู้คนบ่าวไพร่ ต่อหน้าแขก13. ย่อมไม่จ้องดูบุคคล โดยเพ่งพิศเหลือเกิน14. ย่อมต้องรับส่งแขกเมื่อไปมา ในระยะเวลาอันสมควรวจีจริยา1. ย่อมไม่เที่ยวติเตียน สิ่งของที่เขาตั้ง แต่ง ไว้ในบ้านที่ตนไปสู่2. ย่อมไม่กล่าวสรรเสริญรูป กาย บุคคล แก่ตัวเขาเอง3. ย่อมไม่พูดให้เพื่อนเก้อกระดาก4. ย่อมไม่พูดเปรียบเปรย เคาะแคะสตรี กลางประชุม5. ย่อมไม่ค่อนแคะติรูปกายบุคคล6. ย่อมไม่ทักถึงการร้าย โดยพลุ่งโพล่งให้เขาตกใจ7. ย่อมไม่ทักถึงสิ่งอันน่าอาย น่ากระดากโดยเปิดเผย8. ย่อมไม่เอาสิ่งที่น่าจะอายจะกระดากมาเล่าให้แขกฟัง9. ย่อมไม่เอาเรื่องที่เขาพึงซ่อนเร้น มากล่าวให้อับอายหรือเจ็บใจ10. ย่อมไม่กล่าวถึงการอัปมงคล ในเวลามงคลมโนจริยา1. ย่อมรู้จักเกรงใจคน
บทที่ 5: ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีสง่ากายจริยา1. ย่อมมีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ2. จะยืนนั่ง ย่อมอยู่ในลำดับอันสมควร ไม่เป็นผู้แอบหลังคนหรือหลีกเข้ามุม3. ย่อมไม่เป็นผู้สะทกสะท้าน งกเงิ่น หยุดๆ ยั้งๆวจีจริยา1. ย่อมพูดจาฉะฉานชัดถ้อยความ ไม่อุบอิบอ้อมแอ้มมโนจริยา1. ย่อมมีความรู้จักงาม รู้จักดี2. ย่อมมีอัชฌาสัยอันกว้างขวาง เข้าไหนเข้าได้3. ย่อมมีอัชฌาสัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใด ก็เข้าใจและต่อติด4. ย่อมมีความเข้าใจว่องไว ไหวพริบรู้ทันถึงการณ์5. ย่อมมีใจอันองอาจกล้าหาญ
บทที่ 6: ผู้ดี ย่อมปฏิบัติการงานดีกายจริยา1. ย่อมทำการอยู่ในระเบียบแบบแผน2. ย่อมไม่ถ่วงเวลาให้ผู้อื่นคอย3. ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบจดหมาย4. ย่อมไม่ทำการแต่ต่อหน้าวจีจริยา1. พูดสิ่งใดย่อมให้เป็นที่เชื่อถือได้2. ย่อมไม่รับวาจาคล่องๆ โดยมิได้เห็นว่าการจะเป็นได้หรือไม่มโนจริยา1. ย่อมเป็นผู้รักษาความสัตย์ในเวลา2. ย่อมไม่เป็นผู้เกียจคร้าน3. ย่อมไม่เข้าใจว่า ผู้ดีทำอะไรด้วยตนไม่ได้4. ย่อมไม่เพลิดเพลิน จนละเลยให้การเสีย5. ย่อมเป็นผู้รักษาความเป็นระเบียบ6. ย่อมเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชา เมื่ออยู่ในหน้าที่7. ย่อมมีมานะในการงาน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก8. ย่อมเป็นผู้ทำอะไรทำจริง9. ย่อมไม่เป็นผู้ดึงดันในที่ผิด10. ย่อมปรารถนาความดี ต่อการงานที่ทำอยู่เสมอ
บทที่ 7: ผู้ดี ย่อมเป็นผู้ใจดีกายจริยา1. เมื่อเห็นใครทำผิดพลาดน่าเก้อกระดาก ย่อมช่วยกลบเกลื่อน หรือทำไม่เห็น2. เมื่อเห็นสิ่งของ ของใครตกหรือเสื่อมเสีย ย่อมต้องหยิบยื่นให้ หรือบอกให้รู้ตัว3. เมื่อเห็นเหตุร้าย หรืออันตรายจะมีแก่ผู้ใด ย่อมต้องรีบช่วยวจีจริยา1. ย่อมไม่เยาะเย้ย ถากถาง ผู้กระทำผิดพลาด2. ย่อมไม่ใช้วาจาอันข่มขี่มโนจริยา1. ย่อมไม่มีใจอันโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราดแก่ผู้น้อย2. ย่อมเอาใจโอบอ้อมอารีแก่ผู้อื่น3. ย่อมเอาใจช่วยคนเคราะห์ร้าย4. ย่อมไม่เป็นผู้ซ้ำเติมคนเสียที5. ย่อมไม่เป็นผู้อาฆาตจองเวร
บทที่ 8: ผู้ดี ย่อมไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวกายจริยา1. ย่อมไม่พักหาความสบายก่อนผู้ใหญ่ หรือผู้หญิง2. ย่อมไม่เสือกสนแย่งชิง ที่นั่ง หรือที่ดูอันใด3. ย่อมไม่เที่ยวแย่งผู้หนึ่ง มาจากผู้หนึ่ง ในเมื่อเขาสนทนากัน4. เป็นผู้ใหญ่ จะไปมาลุกนั่งย่อมไว้ช่องให้ผู้น้อยมีโอกาสบ้าง5. ในการเลี้ยงดูย่อมเผื่อแผ่ เชื้อเชิญแก่คนข้างเคียงก่อนตน6. ในการบริโภค ย่อมหยิบยก ยื่นส่งสิ่งของแก่ผู้อื่นต่อๆ ไปไม่มุ่งแต่กระทำกิจส่วนตน7. ย่อมไม่รวบสามตะกลามสี่ กวาดฉวยเอาของที่เขาตั้งไว้เป็นกลางจนเกินส่วนที่ตนจะได้8. ย่อมไม่แสดงความไม่เพียงพอใจในสิ่งของที่เขาหยิบยกให้9. ย่อมไม่นิ่งนอนใจให้เขาออกทรัพย์แทนส่วนตนเสมอ เช่น ในการเลี้ยงดู หรือใช้ค่าเดินทาง เป็นต้น10. ย่อมไม่ลืมที่จะส่งของ ซึ่งคนอื่นได้สงเคราะห์ให้ตนยืม11. การให้สิ่งของหรือเลี้ยงดูซึ่งเขาได้กระทำแก่ตน ย่อมต้องตอบแทนเขาวจีจริยา1. ย่อมไม่ขอแยกผู้หนึ่งมาจากผู้ใด เพื่อจะพาไปพูดจาความลับกัน2. ย่อมไม่สนทนาแต่เรื่องตนฝ่ายเดียว จนคนอื่นไม่มีช่องจะสนทนาเรื่องอื่นได้3. ย่อมไม่นำธุระตนเข้ากล่าวแทรก ในเวลาธุระอื่นของเขาชุลมุน4. ย่อมไม่กล่าววาจาติเตียน ของที่เขาหยิบยกให้ว่าไม่ดี หรือไม่พอ5. ย่อมไม่ไต่ถามราคาของที่เขาได้หยิบยกให้แก่ตน6. ย่อมไม่แสดงราคาของที่จะหยิบยกให้แก่ผู้ใดให้ปรากฏ7. ย่อมไม่ใช้วาจาอันโอ้อวดตน และลบหลู่ผู้อื่นมโนจริยา1. ย่อมไม่มีใจมักได้ เที่ยวขอของเขาร่ำไป2. ย่อมไม่ตั้งใจปรารถนาของรักเพื่อน3. ย่อมไม่พึงใจการหยิบยืมข้าวของ ทองเงินซึ่งกันและกัน4. ย่อมไม่หวังแต่จะพึ่งอาศัยผู้อื่น5. ย่อมไม่เป็นผู้เกี่ยงงอน ทอดเทการงานตนให้ผู้อื่น6. ย่อมรู้คุณผู้อื่นที่ได้ทำแล้วแก่ตน7. ย่อมไม่มีใจริษยา
บทที่ 9: ผู้ดี ย่อมรักษาความสุจริตซื่อตรงกายจริยา1. ย่อมไม่ละลาบละล้วงเข้าห้องเรือนแขก ก่อนเจ้าของบ้านเขาเชิญ2. ย่อมไม่แลลอดสอดส่าย โดยเพ่งเล็งเข้าไปตามห้องเรือนแขก3. ย่อมไม่เที่ยวฉวยโน่น หยิบนี่ของผู้อื่นดูจนเหลือเกิน ราวกับว่าจะค้นหาสิ่งใด4. ย่อมไม่เที่ยวขอ หรือหยิบฉวยดูจดหมาย ของผู้อื่นที่เจ้าของไม่มีความประสงค์จะให้ดู5. ย่อมไม่เที่ยวขอ หรือหยิบฉวยดูสมุดพก หรือสมุดจดรายงานบัญชีของผู้อื่น ซึ่งตนไม่มีธุระเกี่ยวข้องเป็นหน้าที่6. ย่อมไม่เที่ยวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น7. ย่อมไม่เที่ยวเปิดดูหนังสือ ตามโต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น8. ย่อมไม่แทรกเข้าหมู่ผู้อื่นซึ่งเขาไม่ได้เชื้อเชิญ9. ย่อมไม่ลอบแอบฟังคนพูด10. ย่อมไม่ลอบแอบดูของลับ11. ถ้าเห็นเขาจะพูดความลับกัน ย่อมต้องหลบตาหรือลี้ตัว12. ถ้าจะเข้าห้องเรือนผู้ใด ย่อมต้องเคาะประตูหรือกล่าววาจาให้เขารู้ตัวก่อนวจีจริยา1. ย่อมไม่ซอกแซกไต่ถามธุระส่วนตัว หรือการในบ้านของเขา ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแก่ตน2. ย่อมไม่เที่ยวถามเขาว่า นั่นเขียนหนังสืออะไร3. ย่อมไม่ถามถึงผลประโยชน์ที่เขาหาได้ เมื่อตนไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง4. ย่อมไม่เอาการในบ้านของผู้ใดมาแสดงในที่แจ้ง5. ย่อมไม่เก็บเอาความลับของผู้หนึ่งมาเที่ยวพูดแก่ผู้อื่น6. ย่อมไม่กล่าวถึงความชั่วร้าย อันเป็นความลับเฉพาะบุคคลในที่แจ้ง7. ย่อมไม่พูดสับปลับ กลับกลอก ตลบตะแลง8. ย่อมไม่ใช้คำสบถติดปาก9. ย่อมไม่ใช้ถ้อยคำมุสามโนจริยา1. ย่อมไม่เป็นคนต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง2. ย่อมเป็นผู้รักษาความไว้วางใจของผู้อื่น3. ย่อมไม่แสวงประโยชน์ในทางที่ผิดธรรม4. ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเที่ยงตรง
บทที่ 10: ผู้ดี ย่อมไม่ประพฤติชั่วกายจริยา1. ย่อมไม่เป็นพาลเที่ยวเกะกะระรั้ว และกระทำร้ายคน2. ย่อมไม่ข่มเหงผู้อ่อนกว่า เช่น เด็ก หรือผู้หญิง3. ย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เจ็บอาย เพื่อความสนุกยินดีของตน4. ย่อมไม่หาประโยชน์ ด้วยอาการที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน5. ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด6. ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม เช่น กัญชา ยาฝิ่น 7. ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนัน เพื่อจะปรารถนาทรัพย์ 8. ย่อมไม่ถือเอาเป็นของตน ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตให้9. ย่อมไม่พึงใจ ในหญิงที่มีเจ้าของหวงแหนวจีจริยา1. ย่อมไม่เป็นพาลพอใจทะเลาะวิวาท2. ย่อมไม่พอใจนินทาว่าร้ายกันและกัน3. ย่อมไม่พอใจพูดส่อเสียดยุยง4. ย่อมไม่เป็นผู้สอพลอประจบประแจง5. ย่อมไม่แช่งชักให้ร้ายผู้อื่นมโนจริยา1. ย่อมไม่ปองร้ายผู้อื่น2. ย่อมไม่คิดทำร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตน3. ย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง4. ย่อมเป็นผู้มีความละอายแก่บาปเราจะเห็นว่าในยุคนี้ผู้คนทั้งหลายต่างต้องการให้ตนเองดูดี ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายเองก็เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวนี้เครื่องเสริมความงามของฝ่ายชายเองก็มีมาดเช่นเดียวกัน บางคนก็ถึงขนาดยอมเจ็บตัวไปผ่าตัดกระดูก จัดกล้ามเนื้อต่างๆ จนไม่รู้ว่าหน้าตาเดิมเป็นอย่างไร ความจริงวิธีการที่ทำให้เราเองดูดีโดยไม่ต้องเสียเงิน และไม่ต้องเจ็บตัว คือการฝึกกิริยามารยาทของเราเอง คนบางคนหน้าตาอาจจะดูธรรมดา แต่เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคนร่าเริง สดชื่น ทำอะไรพอดีๆ มีกิริยามารยาทดี มีความเชื่อมั่น ก็ทำให้ดุดีขึ้นไปโดยปริยาย ตรงนี้มีความสำคัญมากเลย ดังนั้นถ้าเราอยากให้ตัวเองดูดี ไปที่ไหนก็เป็นที่ยอมรับ ให้ฝึกสมบัติผู้ดีกันเถอะ ไม่มีคำว่าเชย
ที่มาของสมบัติผู้ดี
ที่มาของสมบัติผู้ดี ที่มาของมารยาทไทย ต้นแหล่งจริงๆ มาจากพระวินัยของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา คือในครั้งพุทธกาล พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเกิดใหม่ และขยายไปอย่างรวดเร็วกว้างขวางมาก ซึ่งศาสนาที่เกิดขึ้นก่อนเขารู้สึกเสียผลประโยชน์ เพราะชาวบ้านมาศรัทธาพระพุทธศาสนา จึงได้มีกระบวนการโจมตีพระพุทธศาสนา โจมตีพระภิกษุ ใส่ร้าย อย่างมากมายเพื่อลดความเชื่อถือ ไม่ให้พระพุทธศาสนาเติบโต แต่ว่าพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเป็นของจริง ไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นความจริงของโลกและชีวิต ดังนั้นทองแท้ไม่กลัวไฟ พระพุทธศาสนาก็ยังคงขยายกว้างออกไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบว่า พระภิกษุที่มาบวชในพระพุทธศาสนา แล้วออกไปเผยแผ่ธรรมในที่ต่างๆ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เคลื่อนที่ได้ของพระพุทธศาสนา ดังนั้นการประพฤติ ปฏิบัติที่เหมาะสมถูกต้องจะสร้างศรัทธาให้แก่ผู้พบเห็น มีความสำคัญมาก พระองค์จึงสอนมารยาทให้พระภิกษุไว้มากมายทั้งมารยาทในการขบฉัน มารยาทในการดูแลรักษาพยาบาล มารยาทในการต้อนรับภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ อีกทั้งการอยู่ร่วมกันในหมู่พระภิกษุจากทุกชั้นวรรณะ แม้อายุจริงยังถูกยกเลิก เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ถือเป็นการเกิดใหม่ในชีวิตสมณะ แหละนี้คือพระพุทธศาสนา นี่คือหมู่สงฆ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเลือกเอามารยาทหมวดที่สำคัญขึ้นมา 5 หมวด มาบรรจุอยู่ในปาฏิโมกข์ให้สงฆ์ทุกรูปไปฟังการสวดทบทวนปาฏิโมกข์ทุกปักษ์คือทุกสองสัปดาห์ ในหมวดหนึ่งเรียกว่า เสขิยวัตร มีทั้งหมด 75 ข้อ เป็นเรื่องที่ว่าด้วยมารยาทของพระภิกษุโดยเฉพาะ เช่นหมวดแรกคือมารยาทในการครองผ้า จะนุ่งห่มจีวรห่มอย่างไร หมวดที่สอง มารยาทในการเข้าบ้าน พระภิกษุเมื่อเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว จะต้องไม่เดินโคลงไปเคลงมา ต้องมีความสงบสำรวม หมวดที่สามคือมารยาทในการขบฉันภัตตาหาร คือไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป เวลาเคี้ยวก็ไม่คุยกัน หมวดที่สี่คือมารยาทในการแสดงธรรม ผู้ฟังธรรมต้องมีความเคารพในการฟังธรรม จึงแสดงธรรม หมวดที่ห้าคือ มารยาทในการขับถ่าย ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ) จะปัสสาวะ อุจจาระจะต้องนั่ง นี่คือ 5 หมวดหลักในเสขิยวัตร ตรงนี้เองคือแหล่งที่มาของมารยาทในสังคมไทย และสังคมพุทธตลอดเอเชียอาคเนย์เพราะฉะนั้นสงฆ์เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ความสำคัญ ถึงขนาดให้ทบทวนทั้ง 75 ข้อนี่ ทุกๆ 15 วัน ส่วนตัวเราเองอยู่บ้าน สมบัติผู้ดีลองเปิดดูเถอะ แล้วหมั่นทบทวนบ่อยๆ ให้เป็นสมบัติติดตัวเรา เราไปที่ไหนจะสวยเสมอ สวยสมวัย ไม่ต้องกลัวว่าอายุเยอะแล้วจะดูไม่ดี คนมีมารยาทมีสมบัติผู้ดีไปถึงไหนก็ดูดีตลอด เป็นเด็กก็ดูน่ารักแบบเด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ดูน่าชื่นชม เป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพ ยำเกรง น่าเชื่อถือ มีอายุมากขึ้นก็เป็นที่ลูกหลานเข้าใกล้แล้วอบอุ่น สบายใจ เป็นแบบอย่างให้ทุกคนได้ มีสมบัติผู้ดีเมื่อไหร่ เราจะเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง ในการเข้าสังคมในทุกที่ แล้วเป็นที่รักของทุกๆ คน
http://goo.gl/ttmYf