ไมเคิล หว่อง (ฮ่องกง)ผมชื่อ ไมเคิล หว่อง อายุ 42ปี เป็นชาวฮ่องกง และเติบโตที่นิวยอร์ก เมื่อจบไฮสคูล ผมกลับมาฮ่องกงอีกครั้ง เพื่อทำงานด้านการแสดงตั้งแต่ ผมยังเป็นเด็ก ผมมักจะเหม่อมองไปยังดวงจันทร์บนท้องฟ้าเสมอๆ ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เพราะอะไรผมจึงชอบดวงจันทร์ ทำไมดวงจันทร์จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตของผมเสมอ และเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็เริ่มได้คำตอบแล้วครับว่า ดวงจันทร์มีความหมายต่อชีวิตของผมอย่างไร และคำตอบนั้น ผมได้รับจากเมืองที่ผมรัก คือ เมืองไทย ซึ่งต้องเดินทางมาไกลเหลือเกินครับเรื่องราวความรักของผม ที่มีต่อเมืองไทย เปิดฉากขึ้นครั้งแรก เมื่อ 14ปีก่อน หลังจากได้รับการติดต่อให้เล่นโฆษณาสินค้าหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมโด่งดังมาก และทางบริษัทแกรมมี่ ก็ยังแต่งเพลง "ฉันมาไกล" ให้ผมร้องโดยเฉพาะ ทั้งๆที่ในขณะนั้นผมพูดภาษาไทยไม่ได้เลย และสำเนียงที่ร้องก็ยังแปร่งๆ อีกด้วยแม้หลังจากนั้น ผมจะไม่ได้มีส่วนร่วมในวงการบันเทิงของเมืองไทยมากนัก แต่ผมกลับรู้สึกผูกพันกับเมืองไทยมากขึ้นทุกวัน เหมือนเพลงบทนั้นได้ขีดชะตาชีวิตของผม เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ 10กว่าปีมาแล้ว ที่ผมเดินทางไกล มาเมืองไทยทุกเดือน มันช่างเริ่มต้นและลงท้าย เหมือนเพลงที่ผมร้องจริงๆครับ แม้จะเริ่มด้วย “มาไกลเหลือเกิน...” แต่ผมไม่คิดจะเดินกลับหลังไป อยากจะขอพึ่งพาอาศัย ที่ที่มีน้ำใจแห่งนี้ นาน นานผมได้ตกหลุมรักคนไทย และทุกๆสิ่งในเมืองไทย แม้ว่าคนไทยอาจจะลืมผมไปแล้ว แต่คนไทยทุกๆคน ก็ยังคงอยู่ในหัวใจของผมเสมอ หัวใจของผมได้ฝากไว้ ณ ดินแดนที่ชื่อ “Thailand” แล้วล่ะครับ เพราะเมืองไทยมีเสน่ห์เหลือเกินเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้สัมผัสสิ่งที่พิเศษที่สุดจากเมืองไทยแห่งนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เอง หลังจากที่ผมได้รู้จักกับ คุณหม่อม (หม่อมหลวงรัชฎาราศี ชยางกูร) เธอได้ชักชวนให้ผมนั่งสมาธิ(Meditation) และนำทางผมให้ได้มาพบกับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ก่อนที่ผมจะได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมตื่นเต้นมาก เพราะทั้งคุณหม่อมและ คุณ Howard ได้เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ผมฟังจนเมื่อผมได้เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์จริงๆครั้งแรก ก็รู้สึกเหมือนถูกแรงดึงดูดบางอย่าง และผมได้สัมผัสรัศมีจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยครับก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะนำนั่งสมาธิให้กับครอบครัวของผม ผมตื่นเต้นมาก เกรงว่าจะทำสมาธิได้ไม่ดี แต่พอพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า “ไมเคิล หว่อง คุณทำได้” ผมจึงลองหลับตา และเริ่มรู้สึกว่าสมาธินั้นง่ายจริงๆ ผมรู้สึกสบายมาก เหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อและจักรวาล ผมไม่อยากออกมาจากสมาธิในตอนนั้นเลย “ผมอยากจะอยู่ตรงนี้นาน..นาน"พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นบุคคลที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง ผมรู้สึกเคารพในทุกๆคำของท่าน ผมเชื่อทุกสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดถึงอดีตชาติของผมหลังกลับจากวัดพระธรรมกาย คืนนั้นผมได้นั่งสมาธิอีกรอบ และคืนนี้เองที่ดวงจันทร์มีความหมายต่อชีวิตผมเป็นพิเศษ เพราะผมได้กำหนดนึกถึงดวงจันทร์ไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่7 เมื่อดวงใจของผมได้หยุดนิ่งอยู่กับดวงจันทร์ในฐานที่7 ผมรู้สึกสบาย มากขึ้นๆ อย่างน่ามหัศจรรย์ แล้วก็ผ่อนคลายมากๆ ความเครียด ความกังวลต่างๆ ได้สูญสลายไป ผมรู้สึกประหนึ่งว่า ตัวเองล่องลอยอยู่ในอวกาศที่เงียบสงบ โดยมีผมและดวงจันทร์เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลนั้นผมชอบนั่งสมาธิตอนเย็น หรือก่อนนอนในห้องนั่งเล่น บางครั้งรู้สึกเหมือนมีแรงสั่นสะเทือน หรือความสว่างแบบเรืองแสงอยู่ในตัว แล้วสมองผมก็จะโล่ง รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปแค่ 5นาที ด้วยสติที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เวลาจริงๆผ่านไปตั้ง 30นาทีแล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ถ้าได้นั่งสมาธิทุกวัน จิตใจของผมจะอ่อนโยนขึ้น และสมาธิจะช่วยเปิดเผยหัวใจที่แท้จริงของผมออกมา แม้ขณะนี้ ผมจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่ออีกแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า “ผมอยู่ใกล้ อยู่ใกล้เหลือเกิน...เหมือนผมอยู่ใกล้ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อตลอดเวลา” ผมอยากบอกทุกคนว่า ถ้าเรานั่งสมาธิ แม้กายจะไกลกัน แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้กัน เมื่อเราต่างก็มีใจดวงเดียวกัน, อยู่ในเวลาเดียวกัน, ชั่วขณะเดียวกัน, เราจะรู้สึกถึงความเหมือนกัน จะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างมวลมนุษยชาติเลยคนส่วนใหญ่ มักเลือกเสียเงินเพื่อแลกกับสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิต โดยไม่รู้ว่าสมาธิเป็นของดีที่ทำได้เองฟรีๆ การที่ได้รู้จักสมาธิ ถือเป็นโอกาสที่ล้ำค่าที่สุด เหมือนได้พบกับสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุด คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าสมาธิเป็นสิ่งที่ง่ายขนาดไหน กลับคิดว่า มันยากเกินความสามารถ แต่จริงๆแล้ว ไม่ยากเลย ผมมักจะรู้สึกเสมอๆว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ง่าย แต่มนุษย์นั่นแหละไปทำให้มันยากผมคิดว่า สมาธิมีผลต่ออาชีพนักร้อง นักแสดงมาก เพราะอาชีพนี้จะมีความกดดันเยอะ เช่น บางครั้งสื่อมวลชนเขียนโจมตีเรา สมาธิจะทำให้อีโก้ของตัวนักแสดงลดลง เราสามารถแสวงหาจุดสมดุล แล้ววางตัวได้อย่างเหมาะสม เราจะอดทนเข้าใจให้อภัย พวกเขาเหล่านั้นส่วนชีวิตครอบครัวของผมนั้น ไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมคิดว่า เราไม่ต้องรอให้ปัญหามันเกิดก่อน ถึงจะเริ่มนั่งสมาธิ ยิ่งนั่งสมาธิ ยิ่งจะทำให้เรามีมุมมองใหม่ๆ ในชีวิตที่แตกต่างและดีกว่าเดิมภรรยาของผมเอง ก็ซาบซึ้งและรู้สึกอบอุ่นใจในคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่บอกว่า โดยอาชีพของเธอจะทำให้เธอนั่งสมาธิได้ดี ผมดีใจที่ทุกคนในครอบครัวของผมได้ประสบการณ์ที่ดี เมื่อมาฝึกสมาธิกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อผมอยากให้ครอบครัวของผมเป็นต้นแบบที่ดี ในการฝึกสมาธิ ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มี Project อยากให้ผมช่วยส่วนไหน ผมเต็มใจทำให้อย่างดีที่สุดครับ ผมอยากร้องเพลงถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย อยากจะร้องเป็นภาษาไทย เพราะผมชอบภาษาไทยผมกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ให้ความเมตตาต่อผม ครอบครัวและชาวโลก ถ้าทีวีทุกช่องเปลี่ยนมาสอนสมาธิและเลิกเผยแพร่ความรุนแรงได้อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังทำ โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนผมหวังว่า จะมีโอกาสได้นั่งสมาธิกับพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก และจะหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมในช่วง Middle way ให้ได้ครับประวัติและผลงานของ ไมเคิล หว่องไมเคิล หว่อง เป็นทั้งนักแสดง ผู้กำกับ นักร้อง และโปรดิวเซอร์ แสดงภาพยนตร์ฮ่องกงมาแล้ว 64เรื่อง ภายในระยะเวลา 24ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 -2549)ไมเคิล หว่องเล่นหนังกังฟูเรื่องเดียวและเรื่องแรก ในปี พ.ศ.2526 เรื่อง “กังฟูสวรรค์เจ้ายุทธภพ” (Invencible Obsessed Fighter) เรื่องถัดมาที่ทำให้เขาดังต่อเนื่องเป็นปีๆ คือ “ยอดยุทธ์ตำหนักหลวง” (Royal Warriors) เรื่องที่ดังสุดๆ คือ “ตำนานเพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด” (Legacy of Rage)จนถึง “ทางเลือกสุดท้าย” (Final Option) ที่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในแถบเอเชีย อีกเรื่องคือ “โปลิศจับขโมย” (Police Procedural) ทำให้เขาดังระเบิดเถิดเทิงแบบหยุดไม่อยู่ เลยต้องหันมาจับไมค์ ออกเทปร้องเพลงนั่นเองในปี พ.ศ.2539 หว่อง เคยเป็นนักแสดงอยู่ในรายการทีวีของแคนาดา โดยการกำกับของจอห์น วู เรื่อง “คุณหัวขโมย” (Once a Thief)ภาพยนตร์เรื่องที่โดดเด่นมากที่สุด คือเรื่อง “ตำรวจท้ามฤตยู” (Beast Cops) ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศในงานฮ่องกงฟิล์มอะวอร์ด ประจำปี พ.ศ.2541 โดยไมเคิล หว่อง เป็นนักแสดงนำปี พ.ศ.2541 ได้สร้างภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่ง ชื่อ “ซุย ฮาร์ค ยอดนักหมัด” (Tsui Hark's Knock Off)ปี พ.ศ.2543 เป็นผู้อำนวยการสร้าง, กำกับ, แสดงใน เรื่อง “ท้าชนนรก” (Miles Apart)ผลงานในประเทศไทยเคยถ่ายมิวสิควิดีโอคู่กับ ติ๊นา (คริสติน่า อากีร์ล่า)เป็นนักร้องเพลง “ฉันมาไกล” ของบริษัทแกรมมี่
http://goo.gl/5JcF7