ประวัติ ดร.นีน่า ลินน์ มีเยอร์ฮอฟ (Dr. Nina Lynn Meyerhof)จากสหรัฐอเมริกาดร.นีน่า ลินน์ มีเยอร์ฮอฟ เธออุทิศชีวิตให้กับการทำงานเพื่อเด็กและเยาวชน อาชีพของเธอ คือ การทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานพิเศษด้านการศึกษา ให้กับโรงเรียนต่างๆในเขตเมืองทางใต้ของเวอร์มอนท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา งานชิ้นแรกของ ดร.นีน่า คือ การก่อตั้ง ชุมชนเพื่อสันติภาพ สำหรับเยาวชนในเขตเมืองเวอร์มอนท์ เมื่อปี พ.ศ.2513 ซึ่งได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากดร.นีน่า เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับในวงการการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา เธอได้รับรางวัลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น The Mother Theresa Award, The International Educators Award for Peace เป็นต้น ขณะนี้เธอยังคงเดินทางไปทั่วโลก เพื่อรวบรวมเครือข่ายผู้ใหญ่และเยาวชน ให้หันมาสนใจในการนำคุณธรรม จริยธรรม มาใช้ในชีวิต เพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกที่ดีให้เกิดขึ้นกับโลก เธอมุ่งเน้นว่า สันติภาพนั้นเกิดมาจากการรวมกัน ระหว่างเรื่องของการพัฒนาทางจิตใจ (Spirituality) กับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Science) เธอจึงพยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในปี พ.ศ.2549 ณ เมืองอโรซ่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการประชุมของเครือข่ายผู้นำเยาวชนโลก ดร.นีน่า มีเยอร์ฮอฟ เป็นผู้ผลักดันแนวความคิด ที่จะให้มีการมารวมตัวกันของเครือข่ายผู้นำเยาวชนจากทั่วโลกในทุกๆปี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการปฏิรูป คุณค่าของจิตใจและศีลธรรม ให้สามารถปฏิบัติได้จริง จึงได้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มผู้นำเยาวชนโลก และเรียกกลุ่มตัวเองว่า The World Spirit Youth Council หรือ WSYCWSYC คือ สิ่งที่สะท้อนแนวคิดที่ว่าด้วยเรื่องของการยกระดับ และพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นด้วยศีลธรรม ซึ่งจะนำสันติภาพมาสู่โลกใบนี้อย่างแน่นอน และถึงเวลาแล้วที่เราควรเข้าใจว่า พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน มันเกินกว่าการที่จะพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ เพราะจุดหมายปลายทางของเราก็คือ สันติภาพและความสุขของมวลมนุษยชาติ********************จดหมายขอบ คุณจาก ดร.นีน่า ลินน์ มีเยอร์ฮอฟดิฉัน ดร.นีน่า ลินน์ มีเยอร์ฮอฟ (Dr. Nina Lynn Meyerhof) ประธานองค์กรยุวชนโลก (President of Children of the Earth) ขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างลึกซึ้งจากส่วนลึกของหัวใจ ในความรักความเมตตาที่ทางวัดพระธรรมกายเป็นเจ้าภาพให้กับโครงการ The World Spirit Youth Council ในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืมไปตลอด...จนถึงวันที่โครงการเพื่อสันติภาพโลกนี้จะสำเร็จ และสันติภาพโลกจะสำเร็จไปไม่ได้ ถ้าไม่มีสันติสุขจากภายในความจริงดิฉันมาที่วัดพระธรรมกายเกือบจะ 10ปีแล้ว ทุกครั้งที่มาก็จะเห็นความเจริญก้าวหน้าของสิ่งก่อสร้างต่างๆมากมาย น่าประหลาดใจมากเลย ที่ในทุกครั้งของการมาเยือนวัดพระธรรมกาย ฉันจะได้เห็นเมืองแห่งสันติภาพแห่งนี้ (City of Peace) เติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันงดงามมาก ทุกอย่างที่นี่ทำด้วยความรัก ความละเอียดอ่อนประณีตทุกคนพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุด และให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดแม้เรื่องเล็กน้อย ไม่มีอะไรทำโดยไม่เจตนา ทุกอย่างล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนทั้งสิ้น และทำอย่างตั้งใจ อย่างมีสติ ที่สำคัญทุกคนทำงานกันหนักมาก มันทำให้ฉันทึ่งมากจริงๆ อย่างงานเมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ต้องมีการเก็บงานอีกมาก ซึ่งทุกคนต่างช่วยกันทำด้วยจิตอาสา มันเป็นเรื่องวิเศษมากที่เราช่วยกันทำในสิ่งเหล่านี้ น่าอัศจรรย์จริงๆ และที่นี่คุณจะไม่เห็นเศษกระดาษหล่นทิ้งไว้เลยสักชิ้น
ฉันเดินทางไปมาแล้วทั่วโลก ไปงานใหญ่ๆ ที่มีคนมาเรือนหมื่นเรือนแสนมาแล้วมากมาย ซึ่งปกติจะเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย สกปรกและเสียงดัง แต่ที่นี่...ไม่เลย...ที่นี่ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงคำว่า “สันติภาพ” จริงๆ มันช่างงดงามมาก มันทำให้ฉันประทับใจมากจริงๆ และนี่แหละทำให้ฉันอยากชวนเครือข่ายผู้นำเยาวชน WSYC มาสัมผัส เพราะฉันอยากจะบอกพวกเขาว่า พวกเขาก็ทำได้เช่นกัน ถ้าทุกคนมีภาพในใจที่ชัด ตั้งใจจริงและทำงานอย่างหนักครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ฉันได้มีโอกาสมาฝึกสมาธิ(Meditation)กับทางวัดพระธรรมกายอย่างจริงจัง (โดยฝึกร่วมกับเยาวชน WSYC) ฉันพยายามทำตามที่พระอาจารย์สอน โดยการทำใจว่างๆ ไม่นึกคิดอะไร แล้วฉันก็รู้สึกว่า ใจค่อยๆดิ่งลงไปสู่ความโล่งว่าง ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างสวนขึ้นมา ทั้งๆที่ฉันไม่ได้นึกหรือคิดเลยมันเหมือนเปลวไฟแสงสว่าง ค่อยๆลอยขึ้นมาจนมาอยู่เหนือน้ำ ตอนนั้นรู้สึกว่าฉันไม่มีความคิดนะ มันโล่งมาก เป็นความสุขที่สงบมากๆ ซึ่งประสบการณ์นี้ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันควรจะฝึกสมาธิเป็นประจำ เพื่อให้ตัวฉันเองได้พบความสุขความสงบก่อน โดยเฉพาะในช่วงอายุขนาดนี้ (อายุ 66ปี) สมาธิน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันในขณะนี้สมาธิสอนให้ฉันรู้ว่า ในการทำสิ่งต่างๆ ถ้าคุณมองภาพอะไรได้ชัด คุณก็จะทำมันได้ดี อย่างเช่นครั้งนี้ ฉันอยากแก้ไขตัวเอง ซึ่งความจริงแล้ว ฉันคิดว่าฉันก็เป็นคนดีมากๆอยู่แล้วนะ แต่สมาธิสอนให้ฉันอยากจะเป็นคนที่ใจดีกว่านี้ นุ่มนวลกว่านี้ ยอมรับฟังความเห็นของทุกคนมากกว่านี้ ฉันคิดว่า ทุกคนต้องแก้ไขตัวเองก่อน จึงจะไปแก้ไขคนอื่นหรือสิ่งอื่นได้ เพราะถ้าเราไม่รู้จักตัวเองซะแล้ว การที่เราจะไปรู้จักและเข้าใจคนอื่น ก็คงจะเป็นไปได้ยากสำหรับการพาเยาวชนมาร่วมประชุมครั้งนี้ เป็นประโยชน์มากๆ ที่ประทับใจฉันมากที่สุด คงเป็นเรื่องความรัก ความสามัคคีของทุกคน ทำให้สามารถขับเคลื่อนงานไปข้างหน้าได้เร็วกว่าที่คาดไว้ มันช่างเป็นความสนิทสนมกลมเกลียวอย่างลึกซึ้ง ไม่มีอะไรมาเป็นกำแพงระหว่างพวกเราเลย ไม่มีการแบ่งแยก พวกเธอ พวกฉัน พวกเรากลายเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับการประชุม 3-4ครั้งที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ฉันขอยกความดีให้กับ การฝึกสมาธิของพวกเราก่อนจะเริ่มการประชุม ฉันจึงอยากขอบคุณผู้สนับสนุนโครงการ และวัดพระธรรมกายเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้นได้ ฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกคุณจริงๆพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสอง (พระราชภาวนาวิสุทธิ์, พระภาวนาวิริยคุณ) ช่างเป็นผู้ที่มี Vision ในการสร้างสันติภาพโลกอย่างกว้างไกล ไม่เห็นแก่ความสุขของตัวเองเท่านั้น ยังมีน้ำใจในการนำความสุขที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้รับ ขยายสู่ผู้คนทั่วโลก อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์) ได้ให้โอวาทในวันมาฆบูชาว่า “ถึงเวลาแล้วที่ชาวโลก จะหันกลับมาค้นหาสันติสุขภายใน อันเป็นรากฐานของสันติภาพโลก”ซึ่งสิ่งที่ WSYC ได้รับในครั้งนี้ พวกเราจะนำไปขยายผลต่อยังเครือข่ายต่างๆของพวกเรา เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว และฉันเห็นความร่วมมือของงานสร้างสันติภาพโลกในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการรวมคนล้านคนในปี พ.ศ.2553 พวกเราจะไม่ลืมทำหน้าที่เชิญชวนเยาวชนต่างประเทศมาร่วมงานนี้ด้วยขอให้สันติภาพบังเกิดขึ้นในโลกใบนี้ (May Peace Prevail on Earth)กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ (Thank you so much)Nina
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-3136.png)
http://goo.gl/qdjHp