โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒเรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMCข้อคิดจากความพิการเมื่อพูดถึงความพิการ บางครั้งหลายคนอาจรู้สึกสงสารผู้ที่เกิดมาพิการ แต่ความจริงแล้ว คนพิการบางคนกลับให้กำลังใจเราดียิ่งกว่าคนที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเสียอีก เพราะเขามีมุมมองแนวคิดที่แตกต่างน่าสนใจ และมีวิธีการใช้ชีวิตในแบบพิเศษด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนพิการที่หัวใจไม่พิการและสู้ชีวิตมากๆคนที่เกิดมาพิการนั้น ในทางพระพุทธศาสนาสามารถอธิบายได้อย่างไรบ้าง?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ผลทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นมาแต่เหตุ จะเป็นความพิการแต่กำเนิดก็ตาม หรือว่าเกิดขึ้นภายหลังจากเหตุต่างๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปทั้งสิ้น ถ้าเป็นเหตุในปัจจุบันเราก็เห็นได้ชัดเจนหน่อย เช่น ประมาทก็เลยทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่จริงๆ มันก็มีเหตุในอดีตโยงมาด้วยว่า เป็นผลจากวิบากกรรมในอดีตนั่นเอง สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้เกิดมาพิการมี 2 ประการ คือเหตุแห่งความพิการในเรื่องของกรรมปาณาติบาต1. กรรมปาณาติบาต คนที่ชอบทรมาน แกล้งหรือเบียดเบียนสัตว์ จนทำให้สัตว์นั้นพิการผลกรรมนั้นก็จะส่งผลให้เราต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง จะเห็นตัวอย่างรอบตัวเราได้มาก เมื่อใดก็ตามที่เราไปทำให้สัตว์อื่นต้องพิการ ให้พึงระลึกไว้เลยว่าเมื่อนั้นเราจะต้องไปรับวิบากกรรมในอีกหลายภพหลายชาติมากๆ ซึ่งไม่คุ้มกันเลย2. วจีกรรม ไปแหย่เขา ล้อเลียนเขาเคยมีตัวอย่างจริงเกิดขึ้นมาแล้ว ในครั้งพุทธกาลมีหญิงกำนันของพระนางสามาวดีคนหนึ่งชื่อว่านางขุชชุตตรา เป็นหญิงรับใช้ในวัง ปกติทุกวันจะทำหน้าที่ไปซื้อดอกมะลิมามอบให้พระนางสามาวดี และทุกวันก็กักตุนเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งหลังจากซื้อดอกไม้แล้วกำลังจะกลับ นายชั่งมาลากาที่ทำดอกไม้ก็บอกว่าอย่าเพิ่งกลับ วันนี้จะเลี้ยงพระ พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่นี่อยู่ช่วยกันก่อน ก็เลยอยู่ช่วยจนเสร็จงานและมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จนบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แต่เป็นหญิงหลังค่อม พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้วก็มีศีลครบ ไม่กักตุนของหรือหมกเม็ดเงินไว้อีกแล้ว ซื้อดอกมะลิได้ครบจำนวนแล้วนำไปมอบให้พระนางสามาวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน พระนางสามาวดีได้รับดอกมะลิก็แปลกใจว่าทำไมมากกว่าปกติ นางขุชชุตตราก็ตอบไปตามความจริงทั้งหมดเลยว่าเคยทำอะไรอย่างไรไว้บ้าง พระนางสามาวดีฟังแล้วก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะเป็นคนใจดี จึงถามตอบไปว่าแล้ววันนี้ทำไมเธอไม่เม้มเอาไว้ล่ะ นางขุชชุตตราก็บอกว่าวันนี้ข้าพระองค์ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยไม่อยากทำอย่างนั้นอีกแล้ว พอพระนางสามาวดีได้ฟังดังนั้นแล้ว ด้วยความที่สร้างบุญมามากก็เลยอยากจะฟังธรรม จึงได้ขอให้นางขุชชุตตราช่วยเล่าธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอนเธอมาว่าอย่างไรบ้าง นางขุชชุตตราก็บอกว่าได้ แต่ว่าธรรมะนั้นเป็นของสูง หากว่าจะต้องแสดงธรรมแล้วละก็ ขอน้ำหอมสรงชำระร่างกายให้สะอาดก่อน เตรียมธรรมาสน์ที่สูงถึงจะแสดงธรรมได้ เพราะถือว่าเป็นการแสดงธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องให้ความเคารพในธรรม ธรรมเนียมมีมาอย่างนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลย พอแสดงธรรมจบแล้วพระนางสามาวดีและนางกำนันอีก 500 คน บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันหมดเลย ฝีมือการถ่ายทอดนั้นไม่ธรรมดาเลย ภายหลังพระพุทธเจ้ายังยกย่องนางขุชชุตตราว่า เป็นเลิศทางด้านผู้แสดงธรรมฝ่ายหญิงที่ไม่ใช่ภิกษุณีแล้ววิบากกรรมที่ทำให้นางขุชชุตตรา เป็นหญิงหลังค่อม ก็เนื่องจากภพในอดีตชาติหนึ่ง ก็เป็นหญิงกำนันอย่างนี้แหละอยู่ในวัง เป็นคนน้ำใจงาม ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นพระองค์ถือบาตรก็เกรงว่าจะร้อน จึงถอดกำไลถวายให้ท่านใช้รองบาตร ผลกรรมนั้นทำให้นางเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก เป็นเลิศทางด้านการแสดงธรรม ในขณะเดียวกันก็คล้ายๆ กับรักสนุก พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นท่านเป็นคนหลังค่อมหน่อย เลยไปล้อเลียน ทำท่าเป็นคนหลังค่อม ทำเล่นกับเพื่อน ว่าท่านมีท่าทางอย่างนี้ๆ ไปแสดงล้อเลียนเข้า วิบากกรรมนั้นเกิดกี่ภพกี่ชาติก็ทำให้หลังค่อมทุกชาติเลย เพราะไปล้อเลียนผู้ที่มีคุณธรรมสูงและที่เกิดมาเป็นหญิงรับใช้ก็เพราะว่า ในระหว่างนั้นเองมีชาติหนึ่งที่เกิดเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งคนอื่นก็ไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์ เหลือแต่ลูกเศรษฐีนั่งแต่งตัวอยู่คนเดียวหน้ากระจก ไม่มีอารมณ์ไปไหนเลยวันนี้ บังเอิญมีพระอรหันต์เถรีรูปหนึ่งที่คุ้นเคยกัน ก็เลยแวะมาเยี่ยมที่บ้าน ด้วยความคุ้นเคยที่สนิทสนมกันมาก่อน และตัวเองกำลังแต่งหน้าอยู่ ก็วานพระคุณเจ้าช่วยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งหน้านั้นให้หน่อย ใช้พระเลยนะพระอรหันต์เถรีรูปนั้นก็คิดว่าถ้าเราไม่หยิบให้ ธิดาเศรษฐีก็จะผูกโกรธในตัวเราจะทำให้เธอต้องไปตกนรก เพราะท่านเป็นพระอรหันต์เถรีแล้ว แต่ถ้าเราหยิบให้เธอก็ต้องไปเกิดเป็นหญิงรับใช้คนอื่นเขาอีกหลายชาติ แต่การเกิดเป็นหญิงรับใช้ย่อมดีกว่าตกนรก เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็อาศัยความเอ็นดูในธิดาเศรษฐีเลยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งกายนั้นส่งให้ วิบากกรรมนั้นทำให้เกิดเป็นหญิงรับใช้ตั้งหลายชาติเลย แต่ละเรื่องนั้นดูเบาไม่ได้เลยเหตุแห่งความพิการในเรื่องของวจีกรรมเพราะฉะนั้นเหตุแห่งความพิการ สรุปโดยย่อ หลักๆ 2 ประการ คือ กรรมปาณาติบาตในอดีต การทรมานสัตว์ และเรื่องของวจีกรรม ขอให้เราทั้งหลายหลีกเลี่ยง ถ้าเห็นใครเขามีข้อบกพร่องตรงไหนก็ขอให้มีแต่ความเห็นใจ ไม่ล้อเลียน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำใดๆ ก็ตามคนที่เกิดมาพิการแล้วจะมีวิธีการใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรให้มีความสุข?
มีคำคมบทหนึ่งที่ว่า ฟ้านั้นคล้ายหม่นหมอง เพราะฝุ่นละอองมาบดบัง เราดูฟ้าคล้ายหมอง เพราะมัวมองแบบฝุ่นบัง ความหมายคือ ฟ้าดูคล้ายหมอง เพราะมีฝุ่นละอองอยู่มาบดบัง ท่านใช้คำว่าคล้ายหมอง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้หมอง เพราะฟ้าก็ยังเป็นฟ้าเหมือนเดิม แค่มีฝุ่นละอองเกิดขึ้น เราดูฟ้าหม่นหมองเพราะมัวมองแต่ฝุ่นบัง อย่าไปดูแต่ฝุ่นให้ดูฟ้า เพราะฟ้าก็ยังใสเหมือนเดิมจะมัวไปดูฝุ่นทำไมเล่าฉะนั้น ถ้าเราเองไปจับแต่ประเด็นที่เป็นลบ ใจเราก็จะหดหู่มีแต่ซึมเศร้า แต่ถ้ามองทางบวกก็จะรู้ว่าอย่างไรเราก็ยังเป็นคน และดูแต่อะไรที่สร้างสรรค์เราจะพบว่า โลกก็ยังสดใสและสดสวยเหมือนเดิม ซึ่งมีตัวอย่างดีๆ ให้เราเห็นอีกมากมายเลย ดังนั้นทุกอย่างจึงอยู่ที่ใจ ถ้าใจเราสู้และมองทางบวก พลังที่จะสู้ชีวิตเกิดขึ้นทันทีเราคงเคยได้ยินชื่อของ Stephen Hawking เขาเป็นนักฟิสิกซ์ที่เขาถือกันว่าเก่งมาก ถัดมาจากยุคไอสไตน์ เป็นคนพิการเดินไม่ได้ เขียนหนังสือก็ไม่ได้ ใช้คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ ต้องใช้ริมฝีปากเป็นเครื่องมือช่วย แต่ยังสามารถใช้สติปัญญาของตัวเองจนเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการยกย่องอย่างมหาศาล คนแม้พิการถ้าใจไม่พิการซะอย่างชนะได้ผู้ชายพิการบวชไม่ได้นั้นพอจะมีบุญใดที่จะชดเชยบุญบวชได้บ้าง?
การสร้างบุญสรุปโดยย่อคือ ทาน ศีล ภาวนา เพราะฉะนั้นถึงแม้จะพิการบวชไม่ได้ เพราะคนจะบวชได้ต้องมีอวัยวะครบสมบูรณ์ 32 ประการ เราก็สามารถสร้างบุญใหญ่ได้ อะไรที่เราสามารถให้ทานได้ก็ให้เลย จะให้วัตถุทานก็ได้ ธรรมทานก็ได้ หรือจะให้อภัยทานก็ได้ และศีลก็ตั้งใจรักษาให้ดี ถ้าศีล 5 ไม่พอก็รักษาศีล 8 ถ้าเราไม่ได้บวช และทำสมาธิ(Meditation)ภาวนานี้ทำได้อยู่แล้ว ให้ตั้งใจทำเต็มที่เราคงจำเรื่องของคุณคำน้อยได้ ที่พิการถูกรถทับขาขาด พอสู้ชีวิตก็ทำมาหากินประกอบการค้าเลี้ยงลูกได้ทั้ง 2 คน สวดมนต์ไหว้พระทำภาวนาได้ ตรงนี้น่าสรรเสริญน้ำใจมากใครเห็นก็ชื่นชม ขอให้สู้ชีวิตอย่างเดียวทุกคนมีสิทธิ์ทำได้และก็สร้างบุญใหญ่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะการทำภาวนานั้นแม้พิการก็นั่งสมาธิได้นะ และมีสิทธิ์บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ด้วย ถ้าเข้าถึงธรรมะภายในก็เป็นไปได้เลย อันนี้เป็นบุญอย่างสูงสุดมีบางท่านถามว่าทำไมคนพิการถึงบวชไม่ได้ จริงๆ ก็มีเหตุอยู่ 2 อย่าง คือ1. การบวชเป็นพระนั้น เป้าหมายคือการปฏิบัติและเพื่อมุ่งสู่หนทางพระนิพพาน พระเองก็ต้องมีการจาริกไปตามที่ต่างๆ หลักคือการเดินเท้า เช้ามาก็ต้องออกไปบิณฑบาตโปรด ฉะนั้นถ้าพิการแล้วการจะพึ่งตัวเองก็ไม่สะดวกเพราะบวชเป็นพระไม่มีคนรับใช้หรือมีครอบครัวคอยดูแล แต่จะต้องอยู่ด้วยตัวเอง จึงต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ฉะนั้นผู้จะบวชจึงต้องสามารถยืนหยัดและดูแลรับผิดชอบตัวเองได้2. พระต้องเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ถ้าเป็นคนพิการมาบวชก็จะมีข้อจำกัดทางด้านนี้ ฉะนั้นท่านจึงให้บวชเฉพาะคนที่มีอวัยวะครบสมบูรณ์ทั้ง 32 ประการ เปรียบเหมือนทหาร คนพิการแขนด้วนไปสมัครเป็นทหารเขาก็ไม่รับ เพราะถ้าเทียบความสามารถในการทำหน้าที่ทหารแล้ว อย่างไรเสียทหารที่มีร่างกายสมบูรณ์ก็ได้เปรียบกว่า แต่ว่าถ้าหากมาบวชแล้วตอนบวชนั้นแข็งแรง ต่อมาเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ต้องพิการอย่างนี้ไม่มีปัญหา ก็ยังสามารถอยู่เป็นพระต่อไปได้จนกว่าจะหมดอายุขัยสังคมรอบข้างหรือบุคคลในครอบครัว ควรจะปฏิบัติกับคนพิการอย่างไรบ้าง?
การเห็นใจนั้นดี แต่ต้องระวังอย่าให้เป็นการเห็นใจแบบกด เห็นใจแบบว่าเขาเป็นคนน่าสงสาร เราเองต้องเข้าใจและเอื้อเฟื้อให้ อย่างในต่างประเทศตอนนี้เขาพยายามอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ เช่น ปุ่มกดลิฟท์เขาก็จะมีปุ่มนูนๆ ขึ้นมาสำหรับคนตาบอด พอเอามือคลำแล้วจะรู้ว่าตรงนี้เป็นชั้นไหนๆ จะได้กดปุ่มได้ถูกช่วยตัวเองได้ ทางเดินก็จะมีตุ่มๆ นูนๆ ขึ้นมาให้คนตาบอดใช้ไม้เคาะๆ เขาจะถูกฝึกมาและช่วยตัวเองได้ เป็นต้นเราต้องเข้าใจในแง่อำนวยความสะดวกเพื่อให้คนพิการช่วยตัวเองได้ ให้เขายืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ เห็นใจแต่อย่าไปกดเขา และหาทางให้เขาช่วยตัวเองได้ เข้าไปช่วยเหลือด้วยการยกย่องให้เกียรติไม่กดถ้าเราเป็นคนที่แข็งแรงอยู่เราก็อย่าไปทำเหตุให้ต้องเป็นคนพิการ เช่น ปาณาติบาต วจีกรรมทั้งหลายก็ควรหลีกเลี่ยง และถ้าใครที่พิการขึ้นมาแล้ว หรือถ้าไปเจอคนพิการก็อย่าลืมแนะข้อคิดให้เขาว่า คนเรามีกายต่างๆ ซ้อนๆ กันอยู่ ที่พิการนั้นพิการแค่กายมนุษย์หยาบข้างนอกเท่านั้น กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายธรรมภายในนั้นไม่ได้พิการด้วยเลย ยังครบถ้วนทุกประการ ดังนั้นแม้เราพิการมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็ยังถือว่าประเสริฐกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งหมด จะเป็นเสือ ช้าง สิงโต ที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงกำยำครบสมบูรณ์ทุกส่วน ก็ยังสู้มนุษย์ที่พิการไม่ได้ เพราะมนุษย์ที่พิการนั้นยังมีโอกาสบรรลุธรรมได้ เมื่อปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิแล้วก็สามารถบรรลุธรรมได้ แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายเว้นแต่มนุษย์แล้ว ต่อให้แข็งแรงเท่าไหร่ก็ตามก็มีแต่กำลังกาย เนื่องจากเป็นกายตามขวางจึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น จะบรรลุธรรมได้ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นดังนั้นให้เราภูมิใจในกายมนุษย์นี้ แม้พิการก็ยังมีความประเสริฐยิ่งกว่ากายของสัตว์ทั้งหลาย รู้อย่างนี้แล้วให้ใช้โอกาสที่มีกายมนุษย์นี้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ในการสร้างบุญสร้างกุศล โดยเฉพาะการทำสมาธิภาวนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
http://goo.gl/5sJpK