โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒเรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMCความไม่พอใจในเพศ (ตอนที่ 1)เมื่อก่อนกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนในเรื่องเพศที่สาม?
ในยุคก่อนนี้มีปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า มีความแตกต่างในปัจจุบันไหม ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วในทุกยุคก็มีเรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้น ซึ่งจะมีหลายแบบ ที่เราเองเจอบ่อยๆ ก็คือว่า เกิดเป็นผู้ชายแต่ว่าอยากจะเป็นผู้หญิง บ้างก็แค่ระดับจิตใจ บ้างก็ถึงขนาดไปผ่าตัดแปลงเพศเลยก็มี ยอมถึงขนาดเจ็บเนื้อเจ็บตัว บางคนเกิดเป็นผู้หญิงแล้วก็อยากจะเป็นผู้ชาย แบบนี้เราจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ และมีอีกแบบหนึ่งคือว่าเกิดมาแล้วเป็นทั้งเพศชายเพศหญิงในตัวเองเลยทั้ง 2 เพศในตัวเองอย่างนี้ก็มี เป็นบัณเฑาะว์ก็มี แล้วยังมีพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ เกิดมาเป็นผู้ชายแล้วไม่ต้องผ่าตัดแปลงเพศกลายเป็นผู้หญิงเลย แล้วสุดท้ายกลายเป็นผู้ชายใหม่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล ตอนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี มีอยู่คราวหนึ่งมีบุตรชายของโสไรยเศรษฐี ในโสไรยนคร ก็นั่งรถไปกับเพื่อน จะไปที่ท่าน้ำแล้วบังเอิญเห็นพระมหากัจจายนะซึ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นอสีติสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ ท่านมีสีผิวกายผ่องใสเรืองรองอย่างกับสีทอง พอเห็นปั๊บชายคนนี้ก็นึกเลยว่า โอ้โห...พระรูปนี้นี่งามเหลือเกิน ผิวงามอย่างนี้นี่นะน่าจะเป็นภรรยาของเรา หรือภรรยาของเราเองน่าจะผิวสวยอย่างนี้บ้าง แค่นึกเท่านั้นเองปรากฏว่าจากผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงเดี๋ยวนั้นเลย วิบากกรรมตามมาทันทีเลยส่งผลปุ๊บเลย จากผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงตัวเองก็ตกใจ คนอื่นเขายังไม่รู้นะ แต่เห็นสรีระของตัวเองมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้หญิงก็ตกใจมากแล้วก็อาย พอคนอื่นเผลอก็ลงจากรถก็หลบหายไปเลย ไม่กล้ากลับบ้านแล้ว ก็เลยเดินตามคลองเกวียนหลบไปอีกเมืองหนึ่ง ไปถึงอีกเมืองหนึ่งคนในคลองเกวียนก็สังเกตเห็นว่าทำไมผู้หญิงคนนี้เดินตามคลองเกวียนมาตลอด เพราะอยากจะขออาศัยเขาไปด้วยก็เลยต้องให้แหวนเขาไปวงหนึ่งเขาถึงยอมให้ไปด้วย คนในคลองเกวียนก็สังเกตดูผิวพรรณก็ว่าดูดี รูปร่างหน้าตาดี ไปถึงตรงนั้นก็เลยเอาไปให้กับลูกเศรษฐีประจำเมือง ลูกเศรษฐีเห็นเข้าก็ชอบใจเพราะเห็นว่าหน้าตาดี ก็เลยแต่งเป็นภรรยาจนมีลูก 2 คน (คือก่อนจะมาตอนเป็นผู้ชายก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วมีลูกด้วย 2 คน) ก็คิดว่าคงจะไม่มีโอกาสกลับไปที่เมืองเก่าได้อีกแล้ว มีอยู่วันหนึ่งอยู่บนหน้าต่าง มองลงมาเห็นเพื่อนเก่าในสมัยที่ตัวเองยังเป็นผู้ชายอยู่มาค้าขายที่เมืองนี้ เห็นปั๊บจำได้ก็ให้คนไปเชิญเพื่อนมาแล้วจัดเลี้ยงต้อนรับ เพื่อนก็แปลกใจว่าทำไมภรรยาของบุตรเศรษฐีของเมืองนี้มาเลี้ยงต้อนรับอะไรเราใหญ่โต คุยไปคุยมาก็บอกกับเพื่อนว่าเราเคยเป็นคนนั้นน่ะ จำไม่ได้หรือ พอเพื่อนได้ยินดังนั้นก็ตกใจเพราะถามไถ่เรื่องราวในอดีตแล้วรู้หมดเลยตอบได้ถูกหมด เพื่อนก็เลยถามว่าเคยไปขอขมาพระมหากัจจายนะแล้วหรือยัง ก็ตอบว่ายังเพราะตกใจก็เลยรีบหลบมานี่แหละ เพื่อนก็เลยบอกว่าให้รีบไปขอขมาท่านเสีย ก็เลยเตรียมอุปกรณ์ ดอกไม้ ธูปเทียนแพ อะไรต่างๆ แล้วไปกราบขอขมาพระมหากัจจายนะ พอท่านเอ่ยปากว่าเรายกโทษให้ แค่สิ้นเสียงท่านเท่านั้นเองก็เปลี่ยนจากผู้หญิงกลายเป็นผู้ชายใหม่ พอได้กลับมาเป็นผู้ชายอีกครั้ง ก็กลับไปหาพ่อของลูกแล้วบอกว่าข้าพเจ้ากลับมาเป็นผู้ชายแล้ว และลูกทั้ง 2 นั้นก็ขอยกให้ท่านรับหน้าที่เลี้ยงดูไป แล้วก็กลับไปเมืองเก่า พอกลับเมืองเก่าได้แล้วก็คงจะได้คิดเยอะขึ้น เพราะเคยผ่านชีวิตที่ผกผันขนาดนั้นมาก่อน จึงทำให้คิดได้ก็เลยขอบวชดีกว่า ออกบวชกับพระมหากัจจายนะนั่นเอง พอบวชแล้วเรื่องราวก็ลือออกไปมาถามกันเยอะแยะ จนท่านเองรำคาญก็พยายามปลีกตัวออกห่างจากหมู่คณะ ปลีกวิเวกออกไปแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรม สุดท้ายเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วมันยิ่งกว่าเรื่องในปัจจุบันเยอะ เพราะฉะนั้นให้เรารู้อยู่อย่างหนึ่งว่า ผู้ชายทุกคนไม่มีใครไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง เพียงแต่เราไม่ได้เปลี่ยนในชาติเดียวกันเท่านั้นเอง ภพในอดีตเราก็เคยเป็นผู้หญิงมาแล้ว แล้วไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่เคยเกิดเป็นผู้ชาย เคยเกิดมาแล้วทั้งนั้นเหมือนกัน แต่เผอิญว่าตอนเป็นผู้ชายอาจจะเป็นหนุ่มรูปงามแล้วก็เจ้าชู้ไปหน่อย ทำให้วิบากกรรมกาเมส่งผลให้มาเป็นผู้หญิง พอพูดอย่างนี้ฝ่ายเรียกร้องสตรีก็บอกไม่ยอม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ชายจะเหนือกว่าผู้หญิงนะ เพราะว่าในด้านอื่นๆ เราก็เห็น อย่างเวลาเข้าวัดเราจะเห็นว่าผู้หญิงนั้นเยอะกว่าผู้ชาย แล้วเวลาตายผู้หญิงก็มักจะได้ไปสวรรค์มากกว่า เพราะผู้ชายมัวแต่ไปกินเหล้า เจ้าชู้ ยุ่งกับอบายมุขอยู่ ทำให้มีวิบากกรรมเยอะแยะสุดท้ายก็ไปอบายกันเยอะ เพราะฉะนั้นมันไม่แน่หรอก อยู่ที่ว่าใครตั้งใจสร้างบุญมากกว่ากัน นั่นคือความจริงของโลกและชีวิต ว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และให้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าวิบากกรรมที่ว่านี่นะ ถามว่าในผู้ชายวิบากกรรมกาเมนี่ยังมีอยู่ไหม ก็ยังมีอยู่นะ เพียงแต่ว่าอาจจะอ่อนกำลังลงหรือว่าจังหวะบุญได้ช่องส่งผลก่อน เลยได้มาเกิดเป็นผู้ชาย ถ้ามาชั่งตวงวัดไม่ใช่แน่นอนเสมอไปว่าผู้หญิงยังมีวิบากกรรมกาเมมากกว่าผู้ชายนะ แต่เผอิญว่าผลแห่งวิบากกรรมแสดงผลก่อนเลยเกิดเป็นผู้หญิง แต่ว่าในผู้ชายก็มีวิบากกรรมกาเมอยู่ด้วยเหมือนกัน มันผสมผสานกันอยู่ที่ว่าจังหวะใครให้ผลแก่อ่อนแค่ไหนเท่านั้นเองในความเชื่อที่ว่า ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะบุญน้อยกว่าหรือมากกว่านั้นอันนี้ความจริงเป็นอย่างไร?
จริงๆ คือว่าถ้าในแง่เกี่ยวกับศีลข้อเกมาฯ ผู้ชายโดยเฉลี่ยแล้วมีวิบากกรรมผิดศีลข้อนี้น้อยกว่าผู้หญิง คือเคยเป็นผู้หญิงมาก่อน แล้วก็พอวิบากกรรมจางลงจนสุดท้ายก็กลับเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเกิดไปเจ้าชู้ วิบากกรรมกาเมตามมาพอตายแล้วก็ไปตกนรกบ้าง พ้นกรรมจากนรกก็เป็นเปรตบ้าง สุดท้ายก็เป็นผู้หญิง พอหมดกรรมวิบากกรรมเบาบางเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นผู้ชายใหม่ ก็จะวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ นี่คือโดยเฉลี่ยกลุ่นคนเพศที่สามที่ไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตเห็นคนบางคนว่าตอนยังหนุ่มๆ ก็ดูเป็นผู้ชายดี พออายุมากขึ้นอยู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่อยากจะเป็นผู้หญิงขึ้นมาตอนนั้นก็มี คือเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาตอนอายุมาก ถามว่าทำไม ซึ่งไม่ได้เป็นตั้งแต่เด็กๆ นะ มาเป็นเอาตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเสียด้วยซ้ำ ถามว่าเพราะอะไร เพราะวิบากกรรมข้างในเพิ่งแสดงผลขึ้นมาตอนนั้น พอเรารู้อย่างนี้แล้วยังมีอีกว่า พ่อแม่ควรปฏิบัติกับลูกอย่างไร ถ้าลูกเรายังไม่เป็นต้องดูยังไง ถ้าลูกทำท่าว่าจะเป็นในลักษณะที่ขัดแย้งกับเพศจริงๆ ของตัวเอง เราต้องให้ลูกหลีกเลี่ยงห่างจากคนแบบนั้น ถ้าปล่อยให้ไปคลุกคลีด้วยเดี๋ยวจากตัวของเขาจะไปกระตุ้นให้วิบากในตัวทำงาน จากพลังงานศักย์ก็กลายไปเป็นพลังงานจลเลย ส่งผลจากเดิมเป็นผู้ชายก็ไม่เคยคิดจะเป็นผู้หญิงก็เกิดอยากเป็นขึ้นมา โดยไม่เคยคิดชอบเพศเดียวกันก็เกิดชอบขึ้นมา มีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง เพราะเชื้อในตัวยังมีอยู่ พยายามให้เขาได้แบบที่ถูกต้องแล้วเขาจะคัดท้ายตัวเองได้ วิบากกรรมเหมือนกำลังจะปะทุขึ้นมามันก็ควบคุมอยู่ได้ ตรงนี้มีส่วนนะ ไม่ใช่ว่าใครเป็นยังไงแล้วแก้ไม่ได้ ไม่ใช่ มีโอกาสแก้ได้ถ้ายังไม่ได้ถลำลึกเกินไป หรือขณะเดียวกันสามารถป้องกันได้ อย่าไปคิดว่าไม่เป็นหรอก ไม่เป็นไร ไปๆ มาๆ มีสิทธิเป็น ขนาดบางคนเริ่มต้นก็เป็นชายแท้อยู่ดีๆ จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มแล้ว ไปแสดงหนังแล้วรับบทเล่นเป็นผู้ชายที่ชอบเป็นผู้หญิงเข้าก็ต้องพยายามแสดงท่าทาง อากัปกิริยาคำพูดให้เหมือนที่สุดจะได้เรียกว่าตีบทแตก พอเล่นหนังเรื่องนั้นจบเลยเป็นไปเลย อย่างนี้ก็มี แต่ไม่ใช่จะเป็นทุกคนนะบางคนก็ไม่เป็น อยู่ที่ว่าวิบากกรรมในตัวแก่อ่อนแค่ไหน พูดง่ายๆ ว่ามีเชื้ออยู่ เพราะฉะนั้นอย่าประมาทตัวเองแต่ก็มีคำถามต่อว่า แล้วถ้าเกิดกรณีที่ลูกเป็นไปแล้วเอากลับมาไม่ได้แล้ว จะทำอย่างไรดี ต้องบอกว่า คำว่าเป็นไปแล้วก็มีอีกหลายแบบว่าแก่อ่อนแค่ไหนอันแรกคือว่า อย่าไปใช้วิธีการลงโทษหรือเฆี่ยนตีรุนแรง ซึ่งมันไม่เกิดประโยชน์ ยิ่งเป็นการบีบทำให้เกิดแรงกดดันกับเด็ก ทำให้ยิ่งเป็นปมด้อยขึ้นมา ก็จะยิ่งเตลิดหนักข้อขึ้นไปใหญ่ ยังไงเขาก็เป็นลูกเรา พ่อแม่ต้องให้ความรักความเข้าใจกับลูกให้มาก ให้ลูกรู้สึกว่ายังไงพ่อแม่ก็เป็นที่พึ่งให้เขาได้ แล้วก็ค่อยๆ ให้กำลังใจ ปลอบเขา แล้วจัดสภาพสิ่งแวดล้อม ถ้าคนไหนไม่หนักหน่วงเกินไป ยังมีสิทธิที่ว่าจะแก้ไขได้ แต่ถึงแม้คนที่กู่ไม่กลับ การไปลงโทษอะไรต่างๆ นานา มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นควรใช้หลักให้ความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ แก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบาเต็มที่เท่าที่จะทำได้นี้ดีที่สุด
http://goo.gl/kIhsQ