ทำไมปัจจุบันจึงมีผู้คนนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

ปัจจุบันมีผู้คนนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น คนที่เลี้ยงสัตว์ก็มีหลายเหตุผล บ้างก็เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน เลี้ยงไว้ประดับบารมี บ้างก็เลี้ยงไว้เอาบุญ บ้างก็เลี้ยงเพื่อทำเป็นธุรกิจ เป็นต้น https://dmc.tv/a14189

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ข้อคิดรอบตัว
[ 29 ส.ค. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18278 ]
 
 
โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ
เรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMC
 
 
สัตว์เลี้ยง
 
        ปัจจุบันมีผู้คนนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น คนที่เลี้ยงสัตว์ก็มีหลายเหตุผล บ้างก็เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน บ้างก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน บ้างก็เลี้ยงไว้ประดับบารมี บ้างก็เลี้ยงไว้เอาบุญ บ้างก็เลี้ยงเพื่อทำเป็นธุรกิจ เป็นต้น
 

ปัจจุบันมีธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั้งคลินิกและบริการต่างๆ มากมายนั้นสะท้อนให้เห็นถึงอะไร?

 
        อาจแสดงถึงความเหงาของคน เราจะพบว่าในปัจจุบันคนแต่ละคนก็มีโรคส่วนตัวมากขึ้น ในสมัยก่อนที่เป็นยุคเกษตรเป็นครอบครัวใหญ่พ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกหลานอยู่รวมกันหมด ต่อมาก็เป็นครอบครัวเดี่ยวคือมีแค่พ่อแม่ลูก จะพบเห็นอย่างนี้มากในตัวเมือง เดี๋ยวนี้ในแต่ละครอบครัวพอกลับไปถึงบ้านพ่อแม่ลูกก็อยู่กันคนละทิศละทาง ไม่ค่อยได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จะรู้สึกว่าเหงาๆ เรียกว่าเป็นความเหงาท่ามกลางฝูงชนก็ว่าได้ แต่ว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ยังไงก็ต้องการเพื่อน บางครั้งมีเพื่อนก็อาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จึงหาอะไรที่ไม่สามารถมาถกเถียงกับเราได้ดีกว่ามาเป็นเพื่อน มันเป็นอย่างนั้น
 

การเอาสัตว์มาเลี้ยงนั้น ถือเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวชีวิตเขา จะเป็นการทำบาปหรือไม่?

 
        อันนี้ก็มีหลายกรณี ถ้าหากเอานกมาขังในกรงอย่างนี้ก็ไม่เหมาะ แต่ถ้าในบ้านเลี้ยงสุนัขให้สามารถวิ่งไปมาได้อันนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่ในบางกรณีที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานอย่างสมัยก่อนเลี้ยงวัวควายไว้ไถนา ถ้าในกรณีอย่างนี้ขอให้ว่าเราใช้มันอย่างไม่ทรมาน ใช้อย่างสมเหตุสมผลและดูแลอย่างดี อันนี้ก็พอรอดตัว
 
        สมัยก่อนเขาถือด้วยว่า ถ้าเป็นวัวควายใช้งานเลี้ยงจนแก่เฒ่า พอมันไม่มีแรงแล้วและไถนาไม่ไหว เขาจะไม่ฆ่า เขาจะเลี้ยงจนกระทั่งมันตายไปเอง นึกถึงบุญคุณของมันที่ช่วยเป็นกำลังให้ ทำให้เลี้ยงชีวิตทั้งครอบครัวได้ ถ้าอย่างนี้ก็พอรอดตัว แต่ถ้าถือว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตเขา แล้วใช้อย่างเต็มที่จะเจ็บจะตายจะป่วยจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ อย่างนี้จะเป็นวิบากกรรมติดตัวเราไปด้วย
 
ถ้าหากเอานกมาขังในกรงอย่างนี้ก็ไม่เหมาะ
ถ้าหากเอานกมาขังในกรงอย่างนี้ก็ไม่เหมาะ
 
        ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองนึกสมมติว่าถ้าตัวเราเองเป็นสัตว์ตัวนั้น แล้วรู้สึกดีหรือไม่ เช่น ถ้าเราถูกขังกักบริเวณเหมือนนกที่อยู่ในกรง ถึงเวลามีคนเอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน แต่ไม่มีอิสรเสรีอย่างนี้เราจะชอบหรือไม่ และที่เลี้ยงกันมากที่สุดคือสุนัข ถ้ามีพื้นที่ให้มันได้วิ่งเล่นสะดวกและเลี้ยงมันด้วยความเมตตาก็พอรอดตัว
 
มีข้อคิดอย่างไรบ้าง สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น เพื่อความสวยงามสบายตาตัวเอง?
 
        ขอให้ดูว่า ถ้าเราเอาแค่ให้สนุกตัวเองแต่ทุกข์เขา เอานกแปลกๆ มาเลี้ยงไว้ในกรง แบบนี้ไม่สนุกแน่ แล้วทำไมคนแต่ละคนถึงชอบเลี้ยงสัตว์ไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบเลี้ยงงู แมงมุม สัตว์แปลกๆ แต่ละตัวก็แพงๆ ด้วย ก็มีหลายสาเหตุ อย่างหนึ่งก็ชอบที่มันดูแปลกดี รู้สึกว่ามันโก้เก๋ และอีกส่วนหนึ่งก็คือมีความคุ้นเคยผูกพันกันมา อัธยาศัยข้ามชาติมันติดมา มีอยู่กรณีหนึ่งคือ
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอย่างลุ่มลึกไปตามลำดับ มีอุบาสกนั่งฟังอยู่ 5 คน พระอานนท์ก็นั่งอยู่ข้างๆ พระพุทธเจ้า ก็สังเกตดูอุบาสกทั้ง 5 คนนั้น คนแรกพระพุทธเจ้าเทศน์ไปก็นั่งหลับ คนที่ 2 นั่งไปเอามือไชดินไปด้วย คนที่ 3 นั่งไปเอาหลังพิงต้นไม้ไปเขย่าเอาๆ คือเขย่าต้นไม้ไปด้วย คนที่ 4 นั่งไปดูซ้ายดูขวาดูบนดูล่างไปด้วย คือดูไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจจะฟัง แต่คนที่ 5 ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ พระอานนท์ก็แปลกใจ จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
 
        พระพุทธเจ้าท่านจึงเล่าให้ฟังว่า คนแรกที่นั่งหลับนั้นเพราะเคยเกิดเป็นงูต่อเนื่องกันมา 500 ชาติแล้ว งูเวลากินอาหารแล้วก็ชอบนอนหลับ หิวเมื่อไหร่ก็หาอาหารกินอีกที ธรรมชาติของงูมันชอบนอน มันจึงติดนิสัยมาข้ามชาติ แม้เกิดมาเป็นคนแล้วก็ขี้เซา ส่วนคนที่ 2 ที่ชอบเอามือไชดินนั้น เพราะเคยเกิดเป็นไส้เดือนต่อเนื่องมา 500 ชาติ คือไชดินจนเคย เมื่อเป็นคนแล้วเอาหัวไชไม่ได้ใช้นิ้วไชก็ยังดี เพราะคุ้นเคยกับการไชดิน คนที่ 3 นั่งเขย่าต้นไม้ โยกไปมาเพราะเคยเกิดเป็นลิงต่อเนื่องกันมา 500 ชาติ คนที่ 4 ที่ดูซ้ายดูขวาดูบนดูล่างดูไปเรื่อยเปื่อย เพราะเคยเกิดเป็นหมอดูดูฤกษ์ดูยามต่อเนื่องกันมา 500 ชาติเหมือนกัน มันคุ้นเคยกับการดูดวงดาว ดูฤกษ์อะไรต่างๆ ก็เลยเป็นอย่างนั้น ส่วนคนที่ 5 ที่ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพนั้น เพราะเคยเกิดเป็นมนุษย์เป็นพราหมณ์แล้วตั้งใจศึกษาธรรมะด้วยความเคารพต่อเนื่องมา 500 ชาติ และในชาตินี้พอตั้งใจฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างดีแล้ว ก็เลยบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
 
        จะเห็นว่าคนเรานั้นวาสนามันตัดไม่ขาด แม้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แต่ความคุ้นเคยในอดีตชาติยังส่งผลตามมาเลย ถือว่าเป็นวาสนาไม่ได้เป็นกิเลสแต่เป็นความคุ้นเคย ฉะนั้นใครจะสังเกตว่าเราคุ้นอะไร ถ้าเราเคยเกิดเป็นคนมาหลายชาติแล้วก็แสดงว่าเราต้องเป็นคนชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม ทำความดี หรือจะลองสังเกตดูหน้าตาเราดีๆ ว่ามีเค้าโครงกับสัตว์นั้นๆ หรือไม่ และพอเราเลี้ยงผูกพันกับมันมากภาพมันจะปรากฏอยู่ในใจเรา เราคงเคยสังเกตเห็นผู้หญิงท้องแล้วชอบดูภาพดาราที่ตนเองชื่นชอบอยู่บ่อยๆ ก็มีแนวโน้มที่ลูกออกมาแล้วจะมีเค้าโครงใบหน้าคล้ายๆ กันนั้น เหมือนเป็นแบบปั๊มเข้าไป ฉะนั้นถ้าเราอยากให้ตัวเองเป็นอย่างไรต่อไป ก็เอาใจเราผูกพันกับสิ่งนั้นเข้าไป
 
การเลี้ยงสัตว์นั้นส่วนใหญ่ควรเลี้ยงไว้เพื่อใช้เกื้อกูลกัน
การเลี้ยงสัตว์นั้นส่วนใหญ่ควรเลี้ยงไว้เพื่อใช้เกื้อกูลกัน
 
        การเลี้ยงสัตว์นั้นส่วนใหญ่ควรเลี้ยงไว้เพื่อใช้เกื้อกูลกัน เช่น เลี้ยงวัวควายไว้ใช้งาน เลี้ยงสุนัขไว้คอยเฝ้าบ้าน และถ้าเมื่อสัตว์เลี้ยงของเราไปเผลอทำร้ายคนอื่นเข้า เราก็จะมีเศษวิบากกรรมบ้าง คือต่อไปเราไปทำอะไรเข้าก็จะมีอะไรบังเอิญมาโดนเราเข้าพอดี โดยเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นถ้าจะเลี้ยงก็ต้องดูแลทุกอย่างให้ดีด้วย และการเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อฆ่าเป็นอาหารนั้นก็ผิดแน่นอน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น 1 ในมิจฉาอาชีวะ 5 อย่าง
 
มนุษย์ควรมีขอบเขตที่เหมาะสมอย่างไร ในการใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เลี้ยงของตน?
 
        ปกติคนเรานั้นต้องมีญาติพี่น้อง ถ้าเรามีความสนิทสนมใกล้ชิดผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมากกว่าญาติพี่น้องของตัวเองก็แสดงว่าความเหงาในใจนั้นมีมาก มีตัวอย่างจริงในญี่ปุ่น มีนักเรียนไทยไปเรียนที่นั่นแล้วมาเล่าให้ฟังว่า
 
        วันหนึ่ง ด้วยความที่สนิทกับอาจารย์ที่ปรึกษามาก ก็ถามอาจารย์ว่ามีลูกหรือยัง อาจารย์บอกไม่มี เพราะเลี้ยงหมาไว้แล้ว คือเขาคิดว่าลูกกับหมานั้นเท่ากัน เมื่อเลี้ยงหมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีลูก เป็นกันถึงขนาดนี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า คนในโลกยุคปัจจุบันนี้ ความเหงา ความแปลกแยกระหว่างตัวเอง สังคมกับสิ่งแวดล้อมมันมีมาก อย่างในเฟสบุคนั้นเครือข่ายเติบโตเร็วมากหลายร้อนล้านคนเข้าไปแล้ว เพราะในอีกแง่มุมหนึ่งมันมาชดเชยความขาดในใจ ในชีวิตจริงไม่รู้จะเข้ากับใครอย่างไรดี ทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ว่าจริงๆ ในใจมันก็อยากจะมีเพื่อน มีสังคม จึงเข้าไปในเฟสบุค ก็จะมีเครือข่ายเพื่อนมีอะไรต่างๆ อีกมากมาย และตอบสนองความต้องการของตัวเองด้วยว่า เป็นเพื่อนที่ไม่ต้องไปแคร์อะไรมาก เพราะถ้าเจอคนจริงๆ แล้วต้องคอยดูสีหน้า แววตา อารมณ์ ดูว่าเขาจะชอบหรือไม่ อะไรยังไง เพราะมันต้องมีการโต้ตอบกันไปมา แต่ในเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้น ไม่ต้องเลย ตัวเองไม่ต้องไปรับผิดชอบกับผลที่มันจะเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ต้องการแสดงออกอย่างไรก็แสดงออกไปอย่างนั้น ใครสนใจก็มาไม่สนใจก็ไม่ต้องมา แต่ในชีวิตจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น พอเจอกันแล้วมันก็ต้องผูกพันกันไปจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากันให้ได้ แต่ในสังคมออนไลน์มันง่ายกว่านั้นมาก จึงเป็นการตอบสนองทำให้ตรงนี้โตเร็ว แต่จะโตเร็วแค่ไหนก็แค่ตอบสนองความพร่องในใจคนเท่านั้น เหมือนเราหิวน้ำแล้วเอาน้ำทะเลให้ดื่มพอให้คล่องคอ มันยังไม่ได้ช่วยให้หายกระหายจริงๆ หรอก
 
        คนที่เป็นตัวเป็นตนจริงๆ นั้นแหละ แล้วก็มีความรักความหวังดีต่อกันนั้น จะเป็นมิตรที่ดีที่สุด ชวนกันทำความดี ปรับเข้าหากัน ในโลกยุคปัจจุบัน คนแต่ละคนจะมีความสนใจหลากหลายต่างกันไป พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง มีความสนใจไม่เหมือนกัน แต่มีจุดหนึ่งที่จะเป็นจุดร่วมกันได้คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าชวนกันมาวัด ศึกษาธรรมะ ชวนกันทำความดีแล้วทุกคนก็จะพบเจอจุดร่วมที่รวมกันได้ และพอรู้จักการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ(Meditation)ให้ใจสบาย ใจสงบ ทุกอย่างจะดีไปหมดเลย แล้วเราจะพบว่า เราไม่ควรจะไปขังตัวเองให้อยู่แต่ในโลกออนไลน์ หรือขังตัวเองอยู่กับมือถือ อยู่กับการแชท แต่ให้เอาชีวิตของเราเองมาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง อยู่กับคนเป็นๆ รอบๆ ตัวเราดีกว่า เพราะยังไงแต่ละคนก็มีญาติด้วยกันทั้งนั้น เราควรจะสนใจเขาให้เวลาเขามากกว่ามาขังตัวเองไว้ในโลกออนไลน์ แล้วเราจะพบกับความสุขใจ ความอิ่มใจที่แท้จริง เราจึงควรปรับตรงนี้ก่อนจะดีกว่า
 
คำพังเพยที่ว่า ตัดหางปล่อยวัด นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์ในวัดอย่างไรบ้าง?
 
        สุนัขพอเลี้ยงไว้ บ้างก็คิดว่าเอาไว้เฝ้าบ้าน หรือเลี้ยงเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นตัวผู้ก็รอดตัว ถ้าเป็นตัวเมียแล้วออกลูกมาทีหลายตัวเลย แล้วเลี้ยงไม่ไหวก็เอาไปแจกคนอื่นเขา บางตัวมันพิการหรือหมดความน่ารักแล้วก็คิดเอาไปปล่อยวัดดีกว่า ปัดความรับผิดชอบออกไปโดยวิธีนี้ เพราะไม่อยากให้เป็นภาระ หมาแมวตัวไหนสวยๆ ก็เก็บไว้เลี้ยงเอง ตัวไหนมีปัญหาก็เอาไปปล่อยวัด สุดท้ายวัดเลยกลายเป็นที่รวมในของที่ไม่มีใครต้องการ แล้วอย่างนี้วัดจะเป็นศูนย์รวมจิตใจคนให้ดีได้อย่างไร อันนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง
 
        การถือเอาความสะดวกของตัวเองจะถือว่าเป็นความมักง่ายก็ได้ และไม่คิดถึงคนอื่นเขาคิดแต่เอาประโยชน์ตัว แต่เสียประโยชน์ของพระศาสนาและส่วนรวม ฉะนั้นให้เปลี่ยนใหม่ เอาเป็นว่าจะเอาอะไรไปไว้ที่วัดนั้นต้องเป็นสิ่งที่คัดสรรแล้วว่าดีที่สุด เหมาะสม และเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ
 
        ลองคิดดูว่า ถ้าในวัดมีสุนัขเยอะๆ โยมกำลังมีใจผ่องแผ้วที่จะมาทำบุญ พอเดินเข้ามาเหยียบมูลสุนัขเข้าไปหน่อยจิตใจตกไปแล้ว หรือขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่แล้วมันเห่าหอนทะเลาะแย่งอะไรกัน ก็จะทำให้ใจไม่เป็นสุขเลย ฉะนั้นวัดที่เน้นในเรื่องของการปฏิบัติให้สังเกตดูว่า จะไม่ค่อยมีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ จะเงียบสงบ สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย
 
หน่วยงานหรือมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือสัตว์เร่ร่อนนั้นเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะได้บุญหรือไม่?
 
        ถ้าในกรณีเราเจอสุนัขจรจัด หรือเจอสัตว์ที่ไม่มีทางไป มีชีวิตที่ลำบาก แล้วเราก็หาทางมาสงเคราะห์มัน ก็ถือว่าได้บุญเหมือนกัน แต่ได้นิดหน่อยเพราะเป็นการทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งไม่ได้มีศีลอะไรเลย เพราะต้องดูว่าเมื่อท่านเองรับการสงเคราะห์หรือการทำบุญจากเราไปแล้วนั้น กำลังเรี่ยวแรงที่เกิดขึ้นใช้ทำความดีได้แค่ไหน ยิ่งเอาไปทำความดีได้มากเท่าไหร่ เราเองก็ได้บุญมากไปตามส่วน
 
การที่เราหาทางสงเคราะห์สัตว์ให้มันมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ถือว่าได้บุญเหมือนกัน
การที่เราหาทางสงเคราะห์สัตว์ให้มันมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ถือว่าได้บุญเหมือนกัน
 
        ฉะนั้นให้เรารู้หลักไว้ว่า การให้ทานกับผู้มีศีลนั้นได้บุญมากกว่าคนทั่วไป และได้มากกว่าสัตว์แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้อยากให้ช่วยเหลือสัตว์อะไรอีกต่อไปแล้ว คนเราพอใจมีเมตตาแล้วแม้จะรู้หลักว่าทำบุญกับผู้ทรงศีลแล้วจะได้บุญมากกว่า พอเห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็จะมีเมตตาจิตไปช่วยได้เหมือนกัน
 
ในการทำบุญโดยการไถ่ชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำหรือไม่?
 
        อันนี้ก็เป็นการให้ชีวิตเป็นทาน ก็มีความนิยมในการทำกัน เพราะถือว่า ถึงแม้ว่าเราจะให้อาหารสัตว์กับให้อาหารคน การให้อาหารคนนั้นก็จะได้บุญมากกว่า แต่ในกรณีของโคกระบือที่กำลังจะเข้าโรงฆ่านั้น มันกำลังจะตาย โอกาสที่เราจะช่วยให้สัตว์พ้นจากความตายมันมีน้อย เป็นการให้ชีวิตเลย บางคนที่กำลังมีโรคภัยไข้เจ็บอะไรต่างๆ ก็นิยมทำในสิ่งนี้กัน เพราะถือว่าเป็นการต่อชีวิตให้กับเขา บุญจะได้มาส่งผลให้ตัวเองในทางอ้อม

http://goo.gl/b1vK8


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ทำไมจีวรพระต้องเป็นสีเหลือง
      ขอไม่นับถือพระสงฆ์
      ข้อคิดธรรมะของพระสุธรรมญาณวิเทศ (สุธรรม สุธมฺโม) จากหนังสือ "หน้าสุดท้าย"
      I can’t respect monks, can I?
      กราบไหว้ทำไม งมงาย !
      Why do people have to pay homage? Ignorant!
      โซเดียม อันตรายใกล้ตัว
      บวชให้สุก
      พลังหญิง
      ตักบาตรใส่บุญ(ตอนที่2)
      ตักบาตรใส่บุญ (ตอนที่1)
      ปัญหามรดก
      ยิ่งใหญ่ในรายละเอียด




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related