สันติภาพโลกคืออะไรทำอย่างไรจะก่อให้เกิดสันติภาพโลกขึ้นมาได้

มวลมนุษยชาติแท้จริงแล้วชอบความสงบสุข แต่ก็มักมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศเราเท่านั้น ต่างประเทศก็มีให้เห็นอยู่มาก และผลที่ได้รับก็คือความสูญเสีย https://dmc.tv/a13883

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ข้อคิดรอบตัว
[ 10 ก.ค. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18276 ]
 
 
โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ
เรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMC
 
สันติภาพโลกเกิดขึ้นได้ตามแนวพุทธ
 
        มวลมนุษยชาติโดยทั่วไปแท้จริงแล้วชอบความสงบสุข แต่ก็มักมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศเราเท่านั้น ต่างประเทศก็มีให้เห็นอยู่มากมายเกือบทุกยุคทุกสมัย ทั้งความขัดแย้งระหว่างชุมชน ในเมือง ในประเทศ หรือระหว่างประเทศ ก็มีมาแล้วเช่นกัน แล้วผลที่ได้รับก็คือความสูญเสีย
 
        ในอดีตก็มีบุคคลอยู่มากมายที่พยายามรณรงค์ในเรื่องความสงบสุข หรือสันติภาพโลกนั่นเอง มีบุคคลท่านหนึ่งซึ่งสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้สอนเรื่องราวเกี่ยวกับสันติภาพไว้มากมาย หลายคนคงสงสัยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีหลักหรือธรรมะข้อใด ที่สามารถนำมาปรับใช้ในทุกยุคสมัยว่าคนเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง เพื่อส่งเสริมให้โลกเกิดสันติภาพได้
 

นิยามคำว่าสันติภาพโลกเป็นอย่างไร?

 
        เรื่องนี้มีการพูดถึงกันมาก ถ้าเอาในความรู้สึกคนทั่วไปก็พอเข้าใจว่าสันติภาพคือความสงบสุข ไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างประเทศหรือสงครามกลางเมืองก็ตาม สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาโดยย่อแบ่งเป็น 4 อย่าง คือ 1. ลาภ พูดง่ายๆ ว่ามีทรัพย์สินเงินทองใช้ก็รู้สึกดีใจมีความสุข 2. ยศ 3. สรรเสริญ 4. สุข และสิ่งที่ไม่ต้องการคือ เสื่อมลาภ เช่น มีเงินอยู่แล้วหมดไปหรือมีคนมาแย่งชิงปล้นไป ถูกถอดยศศักดิ์ต่างๆ ทั้งหลายไป หรือถูกนินทาว่าร้ายดูถูกก็ไม่มีใครชอบ และมีความทุกข์ในชีวิต
 
        เมื่อเรารู้แล้วว่าสิ่งที่คนต้องการ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และในการที่จะได้สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1. สร้างขึ้นมา 2. ไปชิงเขามา อย่างเช่นถ้าอยากจะได้ลาภก็ขยันทำงานเก็บเงินตัวเองก็รวยขึ้นๆ แบบนี้ก็ไม่มีใครว่าและไม่ได้ก่อภัยกับใคร แต่คนไหนที่อยากได้ลาภแล้วไปปล้น ขโมย หรือยักยอกเขาแบบนี้จะมีปัญหา ระดับบุคคลต่อบุคคลก็กลายเป็นโจร ถ้าระดับประเทศก็อาจเกิดสงครามขึ้นได้ ซึ่งเมื่อย้อนดูในอดีตจะพบว่าเป็นอย่างนี้ คนปล้นบ้านเขาเรียกว่าโจร แต่คนปล้นเมืองเขาเรียกว่ามหาราช เช่น อเล็กซานเดอร์ มหาราช ที่ยกทัพไปตีไปปล้นเมืองต่างๆ มาเป็นของตนในสมัยก่อน ซึ่งวิธีการแบบนี้นั้นมีปัญหา
 
        ดังนั้นในปัจจุบันวิธีการแบบนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับ โดยพื้นฐานประเทศใหญ่ที่มีความเข้มแข็งหรือแข็งแรงกว่า อยู่ๆ จะยกทัพไปยึดประเทศเล็กๆ โดยไม่มีเหตุผล สังคมโลกจะไม่ยอมรับ เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเมื่อใดคิดไปเบียดเบียนเขาเมื่อไหร่จะมีปัญหาเกิดขึ้นทันที เกิดศึกสงครามขึ้นทันที แม้กระทั่งว่ากลุ่มๆ หนึ่งในประเทศเดียวกันจะไปเบียดเบียนทรัพยากรของอีกกลุ่มหนึ่งยังมีปัญหาเลย ไม่ว่าจะไปเบียดเบียนเอาลาภ หรือยศถ้ามีการสงวนเอาไว้ว่า หากต่างคนต่างต้องการยศก็ต่างทำงานจนกระทั่งเกียรติยศสูงส่งขึ้น อย่างนี้ไม่มีปัญหาเพราะเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ถ้าสร้างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อใดใช้วิธีการไปชิงมาละก็จะเกิดเรื่อง ก็คือว่าจะไปแย่งชิงเอาเกียรติยศจากคนอื่นเขามา โดยทางที่ไม่ชอบก็จะมีเรื่องอีก มันจะเกี่ยวโยงกับเรื่องที่ 3 คือ สรรเสริญ อยากให้เขาชื่นชมยกย่องสรรเสริญเพื่อให้ตัวเองเด่น รู้สึกว่าทุกคนต้องการความภูมิใจ รู้สึกว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นเขา ถ้าใช้วิธีการทำความดีจนทุกคนยอมรับและชื่นชมแบบนี้ไม่มีปัญหา เพราะเป็นการสร้างสรรค์คุณธรรมฝ่ายบวก แต่อีกประเภทที่อยากให้ตัวเองเด่นจะต้องเหยียบชาวบ้านลง คือการไปดูถูกคนอื่นเขา ในเรื่องของยศนั้น ถ้าต้องการยศให้สูงโดยสร้างผลงานจนทุกคนยอมรับเกียรติยศก็จะมาเอง ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ขึ้น แต่ถ้าคนไหนต้องการความก้าวหน้าในองค์กร แล้วใช้วิธีการไปเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่นเขาก็จะมีปัญหา เกิดการแตกแยกแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่ละคนหวาดระแวงกันก็มีปัญหาเกิดขึ้น
 
        สรรเสริญก็เช่นเดียวกัน หากใครต้องการคำยกย่อง ทำความดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนมองเห็นแล้วยอมรับ สังคมชื่นชมแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีไม่มีปัญหา หรือประชาชาติไหนที่ต้องการให้คนยอมรับ ก็ใช้วิธีการพัฒนาคุณธรรมของคนในชาติ มีความเอื้อเฟื้อเสียสละ มีระเบียบวินัย อันนี้ไม่มีปัญหา เหมือนประเทศญี่ปุ่นที่เกิดสึนามิครั้งใหญ่ บ้านเรือนเสียหายพังเป็นแสนหลัง ทั่วโลกเห็นใจ พอเห็นคนเจ็บคนตายและความเสียหายขนาดนี้ แต่ว่าแต่ละคนนั้นมีน้ำใจต่อกัน ไม่มีการจลาจลวุ่นวาย เป็นระเบียบกันหมด ทั่วโลกเห็นแล้วทึ่งว่าทำได้อย่างไร คำชื่นชมก็หลั่งไหลเข้ามาสู่ญี่ปุ่นที่กำลังลำบากอยู่ขณะนั้น และฉายให้เห็นถึงความโดดเด่นในคุณธรรมของประชาชาติดี ที่ทั่วโลกเมื่อได้ยินก็น้ำตาซึมถึงความดี ความเสียสละของเขา เด่นอย่างนี้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อไหร่อยากเด่นโดยการไปเหยียบเขาให้จมลง โดยตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้มีปัญหาแน่นอน เราจะเห็นบางคนอยากเด่นโดยใช้วิธีการโจมตีใส่ร้ายคนอื่น แต่ตัวเองไม่ได้สร้างอะไรเป็นผลดีเลย แต่ใช้วิธีโจมตีคนอื่นว่าคนอื่นเลวหมด ตัวเองดีคนเดียว ไม่สร้างสรรค์แบบนี้ก็มีปัญหาเพราะใช้การทำลาย หรือว่าจะให้ประชาชาติตัวเองเด่นก็ไปดูถูกชาติอื่นเขา คนชาติอื่นมันสู้เราไม่ได้แล้วเรียกเขาด้วยความดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม กดขี่ข่มเหงเขาอย่างนี้จะมีปัญหา แม้กระทั่งการดูหมิ่นระหว่างชนชาติ การเหยียดสีผิวก็เกิดเรื่องได้ตลอด การปลุกระดมให้มีการดูหมิ่นเกลียดชังกัน มองอีกพวกหนึ่งเป็นพวกแมลงสาป เป็นส่วนเกินของประเทศต้องฆ่ามันทิ้งให้หมด เจอกันดีๆ ไม่รู้จักกัน ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกัน แต่ฆ่ากันแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สันติภาพหมดลงทันที
 
        เมื่อใดที่เราต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โดยทางมิชอบ เพราะคาดหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เรามีความสุข เมื่อนั้นสันติภาพจะหมดไป แต่เมื่อใดที่คนคิดจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือบางทีไม่ได้หวัง แต่ทำในเชิงบวกแล้วมันจะมาเอง แล้วอยู่ด้วยความสุข เมื่อนั้นสันติภาพจะเกิดขึ้น
 
        เพราะฉะนั้น โดยพื้นฐานที่ถูกต้องที่สุดคือ ต้องมีความเคารพแม้ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่นเขา อย่าไปดูถูกเขาว่าไม่มีความรู้หรือยากจน เพราะทุกคนบนโลกมีต้นทุนเหมือนกัน คือ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่บุคคลอื่นจะละเมิดไม่ได้
 
        แล้วสันติภาพของโลกคืออะไร โดยหลักอยากจะสรุปทั้งหมดว่า เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ด้วยกันด้วยการไม่เบียดเบียนกัน และเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน นั่นคือเป็นทางมาแห่งสันติภาพของโลก แล้วทำอย่างไรให้เกิดสันติภาพโลกขึ้นมาได้ ก็คือ
 
        1. ชาวโลกต้องมีความคิดที่ตกผลึกร่วมกัน ความคิดตรงกันหมด ที่เป็นสากลข้ามพ้นความเชื่อทางศาสนา ว่าอะไรคือคุณธรรมพื้นฐานที่มนุษย์พึงมี ซึ่งเรื่องนี้คิดว่ามันหาจุดร่วมกันได้ เช่น ศีล 5 ข้อที่ 1 ไม่ฆ่า ทำร้าย ทรมาน ชีวิตอื่น อันนี้เป็นพื้นฐานที่ทุกศาสนาค่อนข้างจะเห็นด้วย เป็นความดีสากล
 
        2. ไม่ปล้น ขโมย เบียดเบียน ยักยอกของคนอื่นเขา แบบนี้ทุกคนก็รับได้
 
        3. ไม่ไปเบียดเบียนในเรื่องตัวบุคคล ไม่เจ้าชู้ ลูกเขาเมียใครอยากได้ก็ลุยเข้าไปเลย แบบนี้คนเขาก็ไม่ยอมรับ ต้องรู้จักเคารพในสิทธิ์ของบุคคลอื่น
 
        4. ไม่โกหก เพราะไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาหลอกลวงเราได้
 
        5. เรื่องสุรา ยาเสพติดทั้งหลายก็ต้องเว้น
 
        พื้นฐาน 5 ข้อนี้ เป็นความดีสากลที่คนทั้งโลกให้มีความเห็นตรงกัน อย่างนี้ถือว่าสันติภาพโลกเริ่มเกิดขึ้นแล้ว 80 % แล้วมาดักข้างหน้าและหลังอีก 2 อย่าง ก็จะสมบูรณ์ ดักหน้าคือเอาทานนำหน้า ให้ทุกคนเอื้อเฟื้อและมีเมตตาจิตต่อกัน พอปลูกฝังอย่างนี้แล้ว ศีล 5 ก็จะเกิดง่าย พอคิดจะให้ได้แล้วความคิดที่จะทำลายมันก็จะลดลง และส่วนที่มาต่อท้ายคลุมหลังคือ เรื่องของภาวนา เพราะเมื่อไรที่ใจคนสงบนิ่งได้เราจะสัมผัสความสุขจากภายในได้ คนที่ไปแย่งชิงเบียดเบียนคนอื่นเขานั้นเป็นเพราะเขาคิดว่า ถ้าเขาได้ทรัพย์สินเงินทองคนอื่นมาเขาจะมีความสุข มีเป้าหมายคือความสุขแต่ว่าไปผิดทางแค่นั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจคนนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกาย เขาจะสัมผัสกับความสุขอีกแบบหนึ่ง คือ ความสุขที่เกิดจากใจที่สงบ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าใจหยุดใจนิ่งไม่มี คือความสุขที่เกิดจากใจเป็นสมาธิ(Meditation)นั้น มันปราณีตสูงส่งกว่าความสุขแบบอื่นทั้งหมด มันเป็นความสุขแบบเย็นๆ อิ่มจากข้างในออกมา ใครเจอความสุขแบบนี้แล้วเขาจะพบว่านี้คือความสุขที่แท้จริง ความสุขจากเนื้อหนังมังสา ทรัพย์สินจากภายนอกนั้น ก็เป็นแค่ความเพลิดเพลินระดับหนึ่งเท่านั้น ความสุขจากใจที่สงบมันประณีตกว่า อิ่มกว่า คุณภาพเหนือกว่า พอเจออย่างนี้แล้วความยึดติดอะไรจากภายนอกจนเกินไปมันจะไม่มี และรู้สึกมีความรักต่อคนทั้งโลก อยากให้คนทั้งโลกได้พบกับความสุขอย่างนี้บ้าง ความรักในมวลมนุษยชาติจะบังเกิดขึ้น ความรู้สึกเบียดเบียนจะถูกขับหายไปหมด
 
การสร้างสันติภาพโลก
การสร้างสันติภาพโลก
 
        เพราะฉะนั้น ศีลจะมั่นคง ทานที่จะให้ก็มั่นคง เมื่อมีภาวนากำกับท้าย โดยหลักก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นี้เอง เป็นความดีสากล บางคนคิดว่าภาวนาหรือนั่งสมาธินั้นเป็นในแบบพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ตอนนี้มันเริ่มเกิดกระแสว่าไม่ใช่แล้ว อย่างในอเมริกาเขามองสมาธิว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง มันข้ามพ้นความเชื่อในพระพุทธศาสนาไปแล้ว เป็นเหมือนคณิตศาสตร์ ฟิซิกส์ วิทยาศาสตร์ ที่คนในโลกใครๆ ก็ควรศึกษา เป็นเรื่องการแสวงหาสัจธรรมความเป็นจริง เป็นศาสตร์ที่คนในโลกไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็เรียนได้ สมาธิก็เป็นคล้ายๆ แบบนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ทางใจที่เขายอมรับแล้วว่าดี Harvard Medical School คณะแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก บอกคนไข้ทุกคนให้นั่งสมาธิ เพราะนั่งแล้วจะหายป่วยเลย และคนธรรมดาที่นั่งแล้วก็จะแข็งแรงมีภูมิต้านทาน นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยเรื่องสมาธิ ใครๆ ก็นั่งสมาธิกัน จนคนที่ไม่เชื่อเรื่องสมาธิตอนนี้กลายเป็นคนกลุ่มน้อยไปแล้วในสังคมอเมริกา
 
        เพราะฉะนั้นตอนนี้เรามีข้อได้เปรียบ ภาวนามันเริ่มพ้นขอบความเชื่อของเรื่องศาสนา และคนทั้งโลกก็สนใจศึกษา คำสอนของพระพุทธองค์เป็นสากลแล้ว ฉะนั้นทาน ศีล ภาวนา มีทางที่จะทำให้เป็นความดีสากลที่คนทั้งโลกปฏิบัติ โดยมีแรงขับเคลื่อนอยู่อันหนึ่งคือสัมมาทิฏฐิ โดยพื้นฐานคือกฎแห่งกรรม ถ้าทุกชาติทุกศาสนายอมรับเรื่องกฎแห่งกรรมได้หมด เช่น เด็กคนไหนขยันเรียนก็จะเรียนได้ดี กฎแห่งกรรมก็บอกว่าเพราะขยันเรียนถึงเรียนได้ดี คนขยันทำการงานแล้วไม่ยุ่งอบายมุขจะตั้งตัวได้อย่างนี้ก็เป็นที่ยอมรับ คนไหนทำไม่ดี เกเร ไปติดยา อนาคตลำบาก หรือคนไหนโดดงาน หนีงาน เบี้ยวงานบ่อย อีกหน่อยก็โดนไล่ออก เหล่านี้ก็คือกฎธรรมชาติ คนไหนเชื่อเหตุผลคนนั้นเชื่อกฎแห่งกรรม มันเป็นเรื่องเหตุผล ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว มันเห็นกันได้อย่างชัดเจน แต่พอเป็นกฎแห่งกรรมข้ามชาติคนก็ชักไม่แน่ใจ ถามว่าทำไมคนแต่ละคนเกิดมาแตกต่างกัน บางคนเกิดมารวย บางคนก็ยากจนมาแต่เกิด บางคนเกิดมาพิการ ต้นทุนเกิดมาไม่เท่ากัน เพราะอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกอย่างมีที่มาและมีที่ไป เพราะเกิดจากผลแห่งวิบากกรรมที่ทำไว้ในอดีตนั่นเอง ตรงนี้จะว่ากันยาว เพราะเราพูดอย่างนี้แล้วคนอื่นเขาจะยอมรับหรือไม่ แต่ตอนนี้มีข้อได้เปรียบ เพราะเขามีการทดลองทางวิทยาศาสตร์และได้ข้อสรุปแล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เพราะคำถามของคนทั้งโลกที่อยากรู้คือ ชีวิตหลังความตายนั้นมีจริงหรือไม่ บางศาสนาก็สอนว่ามีจริง บางศาสนาก็สอนว่าไม่มีจริง ซึ่งคนที่เชื่อ 2 เรื่องนี้ต่างกันนั้นพฤติกรรมจะต่างกันเยอะ อย่างคนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญไม่มีอะไรต่อหลังจากความตาย เขาจะใช้ชีวิตอีกอย่าง ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็กินดื่มเที่ยว ทำอะไรได้ทุกอย่าง จะทำบาปอะไรก็ขออย่าให้ถูกจับได้แค่นั้นพอ ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวอะไร แต่คนที่เชื่อว่าตายแล้วไม่จบ ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดตามแรงบุญแรงบาปที่ทำเอาไว้ เขาจะทำอีกแบบ แม้ไม่มีใครเห็นก็ไม่กล้าทำบาป เพราะกลัวผลแห่งบาป จะทำความดีก็มีกำลังใจทำเพราะรู้ว่ามีผลแห่งบุญที่จะเกิดในอนาคตรอตัวเองอยู่ สิ่งที่เราต้องการคือคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับได้ว่ามันเป็นความจริง ข้ามพ้นขอบความเชื่อของศาสนา ซึ่งเรื่องกฎแห่งกรรมในชาติหน้านั้นตอนนี้เรามีข้อได้เปรียบคือว่า มีคุณหมอชาวอเมริกัน ชื่อ ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน เขาทำการรวบรวมกรณีศึกษาคนที่สามารถระลึกชาติได้ถึง 3 พันกว่าราย มีกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียดจนได้ข้อสรุปว่า การระลึกชาติมีจริง เวียนว่ายตายเกิดมีจริง จนนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปต่างก็ยอมรับเป็นส่วนใหญ่ จากผลการสำรวจคนอเมริกากว่าครึ่งประเทศเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทั้งที่ขัดกับคำสอนในศาสนาของตัวเอง เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ออกมาได้ชัดเจน และมีพลังแห่งความน่าเชื่อถือมาก
 
        ฉะนั้นคนมีความรู้จะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจริง สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ก็มีอยู่จริง ใครที่คิดว่าตัวเองจะมีความสุขได้ด้วยการแย่งชิงคนอื่นเขา ลองดูให้ดีว่ามันสุขจริงหรือไม่ มีโจรคนไหนบ้างที่มีความสุขจริงๆ ก็มีปัญหาทั้งนั้น เจ้าพ่อที่ไม่ถูกใจใครหรือผิดใจใครแล้วไปสั่งยิงทิ้งสุดท้ายก็มักจะตายไม่ดี ผู้ฆ่าย่ออมได้รับการฆ่าตอบ จึงควรตอกย้ำเรื่องกฎแห่งกรรมให้เห็นให้ชัดเจนให้บ่อยๆ และมากเข้าๆ คนที่จะอยู่ยั้งยืนยงได้จริงๆ นั้นต้องสร้างเอง เช่น โซเวียต ขยายอำนาจไปทั่ว แต่ผลสุดท้ายประเทศตัวเองทั้ง 15 รัฐนั้นก็แยกออกเป็น 15 ประเทศเลยในที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าต้องการความยิ่งใหญ่ ต้องการความสำเร็จอย่างเป็นที่ยอมรับได้นั้นก็ต้องสร้างสรรค์ แต่ไม่ใช้วิธีการไปกดขี่หรือไปรุกรานคนอื่นเขา ไม่เกิดประโยชน์ ประวัติศาสตร์สอนเราตลอด เอาสิ่งเหล่านี้มาตอกย้ำในหลายๆ ระดับ แล้วจะพบความจริงว่า การเบียดเบียนไม่เกิดประโยชน์ ต้องการอะไรให้สร้าง ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ให้ลงมือทำงาน แล้วสิ่งเหล่านี้จะมาหาเราเองได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา และสิ่งที่ทำความดีนั้นเอาไว้ จะส่งผลออกไปเป็นความสงบสุขของโลกด้วย เพราะเมื่อเรามีแล้วไม่หวงแหนและแบ่งปันผู้อื่นเขาที่ด้อยโอกาสกว่าเรา อย่างนี้ สันติภาพโลกเกิดขึ้นแน่นอน

http://goo.gl/kwmkE


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ทำไมจีวรพระต้องเป็นสีเหลือง
      ขอไม่นับถือพระสงฆ์
      ข้อคิดธรรมะของพระสุธรรมญาณวิเทศ (สุธรรม สุธมฺโม) จากหนังสือ "หน้าสุดท้าย"
      I can’t respect monks, can I?
      กราบไหว้ทำไม งมงาย !
      Why do people have to pay homage? Ignorant!
      โซเดียม อันตรายใกล้ตัว
      บวชให้สุก
      พลังหญิง
      ตักบาตรใส่บุญ(ตอนที่2)
      ตักบาตรใส่บุญ (ตอนที่1)
      ปัญหามรดก
      ยิ่งใหญ่ในรายละเอียด




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related