หวานซ่อนร้าย
ของหวานมีรสชาติอร่อยทานแล้วรู้สึกสดชื่นดีต่อใจ แต่หากทานมากไปจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายหลายประการ
เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
จากรายการทันโลกทันธรรม ออกอากาศทางช่อง GBN
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.1.jpg)
ในวันหนึ่งร่างกายของมนุษย์ต้องการน้ำตาลวันละเท่าไหร่?
องค์การอนามัยโลกจำกัดปริมาณน้ำตาลต่อวัน ในคนปกติ ที่ทำงานคนวัยทำงานทั่วไปไม่เกิน 4-6ช้อนชา แต่ในคนที่ทำงานหนัก เช่น ใช้แรงงานหนัก อยู่ในสวนในไร่ ต้องแบกหาม ไม่เกิน 6-8 ช้อนชา
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.2.jpg)
เครื่องดื่มชูกำลังขวดเล็ก 7.5 ช้อนชา น้ำส้มมา 11.2 ช้อนชา น้ำอัดลมกระป๋องเล็ก 8.7 ช้อนชา ชาเขียวกล่อง 7.5 ช้อนชา ถ้าเป็นชาเขียวขวดเพิ่มอีกเท่าตัวคือประมาณ 15 ช้อนชา นมเปรี้ยวขวดเล็กประมาณ 4.4 ช้อนชา กาแฟกระป๋องเล็ก 4.3 ช้อนชา
อันตรายที่ซ่อนไว้ในความหวาน หากทานหวานเยอะๆ จะเกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างไร?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.3.jpg)
น้ำตาลชอบเชื่อม ชอบเคลือบ ชอบแช่อิ่ม เพราะฉะนั้นเซลล์ก็จะถูกเชื่อม ถูกเคลือบ แล้วถูกแช่อิ่ม เซลล์ที่ถูกเชื่อม ถูกเคลือบ ถูกแช่อิ่มทำอะไรไม่ได้ เช่น เม็ดเลือดโดนเชื่อมนิดเดียว ก็ไม่นำออกซิเจนกลายเป็นเม็ดเลือดไร้ประโยชน์ ตับ ไต หัวใจ เส้นเลือดทุกส่วนของร่างกาย เมื่อโดนน้ำตาลเชื่อมทำงานไม่ได้ จึงเสื่อมไปหมดทั้งตัว โดยเริ่มจากผิวหนัง แก่เร็ว เซลล์เสื่อม เป็นสิว เพราะน้ำตาลสูงเป็นแหล่งอาหารของเชื้อที่อยู่ตามผิวหนังทำให้เกิดสิวได้ง่าย
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.4.jpg)
ปัจจุบันนี้แพทย์วัดน้ำตาลสะสมโดยการวัดเม็ดเลือดแดงถูกเชื่อมไปแล้วกี่% ซึ่งปกติไม่เกิน 5.7% แต่ถ้าเกิน 6.5% ถือเป็นเบาหวาน หากอยู่ในช่วง 5.7 - 6.5 มีโอกาสเป็นเบาหวาน น้ำตาลจะไปเชื่อมหลอดเลือดจนหลอดเลือดแข็งทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาต ไปเกาะไต ทำให้ไตเสื่อมต้องไปฟอกไต เรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโรคร้ายแรงทุกชนิด
ทานหวานแล้วทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างไร?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.5.jpg)
ไปเชื่อมเส้นเลือด เส้นเลือดแข็ง เมื่อเส้นเลือดแข็งหัวใจจะต้องปั๊มแรงขึ้น ความดันโลหิตจึงสูงขึ้น แล้วทำให้เกิดการ เสพติด เพราะคนทานหวานมักจะเลิกไม่ได้ แถมทานหวานมากขึ้นทุกวันด้วย ซึ่งน้ำตาลพอถูกย่อยจะมีส่วนที่เรียกว่า กลูโคลโมฟีน เป็นตัวที่ ไปจับกับตัวรับของมอร์ฟีนในสมอง เพราะฉะนั้นกลูโคโมฟีนทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าเสพติดน้ำตาล คือถ้าดื่มเครื่องดื่มเย็นแล้ว รู้สึกสดชื่น วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายเริ่มเพลีย พอเห็นร้านกาแฟ หรือร้านน้ำปั่น ก็จะเดินเข้าไปอยากจะทานเพราะรู้สึกสบายดีคือ กลูโคโมฟีน ออกฤทธิ์
เมื่อสดชื่นไปพักหนึ่งหากทานอะไรที่หวานมากจะรู้สึกง่วงเร็ว เป็นเพราะอะไร?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.6.jpg)
เมื่อน้ำตาลเข้าร่างกายสูง อินซูลินจะออกมาเยอะ อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มาจากตับอ่อน ช่วยดึงน้ำตาลเข้าเซลล์ เมื่ออินซูลินออกมามาก อินซูลินจะไปดึงน้ำตาลลงเร็ว จึงเกิดภาวะน้ำตาลต่ำหลังจากที่ดื่มน้ำตาล พอน้ำตาลต่ำก็จะเพลีย ง่วง แล้วกินได้มากขึ้น เพราะรู้สึกจะต้องหาอะไรรองท้อง บางทีกินข้าวเสร็จ กินกาแฟเย็น กาแฟปั่นใส่น้ำตาล ประมาณบ่ายสาม น้ำตาลตก อินซูลินออกมาเยอะก็เลยง่วงนอน
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.7.jpg)
เมื่อง่วงนอนก็อยากจะกินอาหารว่างหรือขนม แล้วหิวพอ 5 โมงเย็นจะทานมากขึ้น สุดท้ายกลายเป็นโรคอ้วน อินซูลินจะเปลี่ยนสิ่งที่เป็นส่วนเกินให้กลายเป็นไขมันสะสมก็จะอ้วนขึ้น เพราะทุกอย่างที่ทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน เพราะอินซูลินทำหน้าที่เก็บทุกอย่างให้เป็นไขมันใต้ผิวหนัง ก็เลยอ้วนแบบไขมันใต้ผิวหนัง
หากอยากให้สุนัขดุต้องให้สุนัขกินน้ำตาล จะป้องกันบ้านได้ แล้วน้ำตาลทำให้คนดุหรือไม่?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.8.jpg)
อินซูลินมีฤทธิ์อีกอย่างคือ กระตุ้นฮอร์โมนความเครียด ทำให้เป็นคนขี้หงุดหงิดง่าย แล้วอารมณ์เสีย
น้ำตาลมีผลทำให้เลือดเป็นกรดได้อย่างไร?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.9.jpg)
ขบวนการย่อยน้ำตาลเรียกว่าไกลโคไลซีส ทำให้เกิดกรดแลคติค หากมีน้ำตาลมากเกินไป จะเหลือเข้าขบวนการย่อยสลายคือ ทำให้เกิดกรดคั่ง และภาวะเป็นกรด ทำให้ร่างกายต้องดึงตัวปรับสมดุลย์ออกมาจากกระดูก ซึ่งคือแคลเซี่ยม ออกมาทำให้กระดูกบาง ดังนั้นหากใครทานน้ำตาลบ่อย กระดูกจะบาง พออายุมากขึ้นหกล้มกระดูกสะโพกจะหักได้ง่าย
นอกจากนั้นแล้วยังทำให้ฟันผุอีกด้วย คือน้ำตาลเองจะไปเคลือบบริเวณ ผิวเคลือบฟันที่เรียกว่า อินาเมล ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดฟันผุ และจุลินทรีย์ยังทำให้เกิดกลิ่นปากอีกด้วย
ทานน้ำตาลเยอะเกินไป มีผลต่อผลต่อภูมิต้านทานในร่างกายหรือไม่?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.10.jpg)
น้ำตาลทำให้ภูมิต้านทานตกในมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่งคือน้ำตาลถ้าสูงก็เป็นแหล่งอาหารของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีภูมิต้านทานก็ตก สรุปแล้วหากทานเยอะไม่เป็นผลดี
จะทำอย่างไรหากเป็นคนชอบทานหวานเป็นปกติ?
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.11.jpg)
เลิกทานอาหารของว่างที่เป็นสแน็คหรือขนมกรุบกรอบตามร้านสะดวกซื้อ แล้วทดแทนด้วยการทานผลไม้ เมื่อหิวน้ำตาล ก็ไปซื้อผลไม้ เริ่มต้นจากผลไม้สุกก่อน แล้วให้ลดเป็นผลไม้ดิบ เช่น กล้วยทานได้ประมาณครึ่งลูกต่อวัน แอปเปิ้ลประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ลูกต่อวัน โดยให้ทานหลากหลาย กล้วย แอปเปิ้ล ฝรั่งได้ประมาณ 2-3 ลูกต่อวัน แก้วมังกร เป็นต้น
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.12.jpg)
สารทดแทนความหวาน จะไปกระตุ้นให้ร่างกายนึกว่าตัวเองมีน้ำตาลออกมา แล้วก็สร้างอินซูลิน เมื่ออินซูลินออกมาก็อ้วน สารทดแทนความหวานทุกอย่างมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น แต่อย่างอื่นอันตรายมากกว่าหญ้าหวาน หญ้าหวานกระตุ้นอินซูลินเหมือนกัน แต่อินซูลินจากหญ้าหวานทำให้มีน้ำตาลไม่พอโดยจะทำให้หิว เพราะฉะนั้นหญ้าหวานจะใช้เป็นใบเอาไปใส่ในแกง หรือในกับข้าวที่ต้องใช้น้ำตาลก็เปลี่ยนเป็นหญ้าหวานแทน เมื่อทานร่วมกับข้าวจะมีคาร์โบไฮเดรตด้วย ดังนั้นผลของอินซูลินจึงมีไม่มาก หากเป็นขนมก็สามารถเลือก สตีวิโอไซด์ ซึ่งเป็นซองเป็นผงอยู่แล้วก็ทำแบบทดแทนน้ำตาลไปเลย หากจะใช้น้ำตาลต้องใช้น้ำตาลที่ไม่ใช่น้ำตาลเทียม เช่น น้ำตาลแอลกอฮอล์ เป็นน้ำตาลที่ให้พลังงานต่ำ ทำให้มีน้ำตาลเข้าไปน้อย เพราะพลังงานต่อความหวานต่ำกว่าน้ำตาลทั่วไป
ทันธรรม...โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.13.jpg)
หลักในพระพุทธศาสนา อย่างพระท่านฉัน 2 มื้อ ซึ่งปัจจุบันทางการแพทย์พบว่าการฉัน 2 มื้อแบบพระ ถูกหลักสุขอนามัย แต่มีเงื่อนไขว่าหลังเที่ยงไปแล้ว จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นอย่าไปทานอย่างอื่นอีก คือของพระหรือคนรักษาศีล 8 จะดื่มน้ำปานะหรือนมได้ หรือช็อคโกแลตได้ เพราะอนุโลมเข้าข่ายอยู่ในเกณฑ์ของพวกน้ำหวาน น้ำผลไม้ เป็นปานะ
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.14.jpg)
หากจะให้ผลดีต่อสุขภาพ หลังมื้อเที่ยงแล้ว ไม่ทานอะไรที่มีแคลอรี่เข้าไปในตัวอีกเลย มีแต่น้ำเปล่า น้ำอุ่นเท่านั้น ทานอีกทีคือเช้าวันรุ่งขึ้น หากทานอย่างนี้สุขภาพจะดีขึ้นแบบทันตาเห็นผิวพรรณจะเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวลอายุจะดูอ่อนเยาว์ สูตรพระพุทธเจ้านอกจากจะได้ผลดีแล้วประหยัดด้วย หากทำอย่างนี้จนเป็นนิสัย ผลที่ตามมาคือจะคุมน้ำหนักได้ง่าย
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.15.jpg)
หากคุมอาหารให้อยู่ 2 มื้อนอกมื้ออาหารไม่ทานจุกจิก แม้จะเป็นช่วงสาย น้ำหวานไม่เอา แต่ช่วงทานข้าวจะทานกาแฟหรือน้ำหวานบ้างก็ได้ แต่พอเสร็จมื้ออาหารแล้วให้จบเลย แปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ไม่ทานจุกจิก จะรู้สึกว่าการคุมน้ำหนักมันเป็นเรื่องง่าย เพราะคุมแค่มื้ออาหาร 2 มื้อ ทุกอย่างจะง่ายไปหมดแล้วปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน ปัญหาเรื่องน้ำตาลเกิน จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
![](https://images.dmc.tv/www/images/articles/dhamma.com/620923.16.jpg)
ในครั้งพุทธกาลพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชาแห่งแคว้นโกศล เป็นมหาอำนาจใหญ่ของอินเดียหนึ่งใน 4 มหาอำนาจยุคนั้น พระองค์เป็นคนที่โปรดปรานการเสวยพระกระยาหารมากจนกระทั่งร่างกายแน่นไปหมด อึดอัด ง่วงนอน จนวันหนึ่งบอกกับพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ง่วงหงาวหาวนอนทั้งวัน แล้วร่างกายอึดอัดเหลือเกินจะทำอย่างไรดี พระองค์ตรัสว่า บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้จักประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง ไม่อึดอัด แก่ช้า แล้วก็อายุยืน พระองค์แนะนำให้หาคนมาคอยท่องคำนี้ให้ฟังอยู่ข้างๆ ตอนที่พระองค์เสวยพระกระยาหาร แล้วก็ให้ลดอาหารวันหนึ่ง 2-3 ช้อน พระองค์ก็ทำตามให้หลานมาคอยท่องคำสอนพระพุทธเจ้าตอนที่พระองค์เสวยจะได้มีสติ ในยุคนี้มีมือถือ ก็อัดเสียงใส่มือถือ แล้วเปิดวนระหว่างทานข้าว ไม่เกิน 7 วัน พอตั้งสติเรื่องนี้ได้ เริ่มเปลี่ยนนิสัยแล้วก็ไม่ต้องเปิด เปิดแค่ช่วงแรกเพื่อให้ตั้งหลักได้เท่านั้น หากรู้สึกน้ำหนักเยอะ ลองลดมื้อละ 2-3 ช้อน สุดท้ายจะเป็นคนที่มีเวทนาน้อย ไม่อึดอัด สดชื่นแจ่มใส ไม่ง่วงหงาวหาวนอนแล้วรูปร่างก็ดี อายุก็ยืนแก่ช้า
![ชมวิดีโอหวานซ่อนร้าย : ทันโลกทันธรรม](/images/video_logo.png)
![Download ธรรมะหวานซ่อนร้าย : ทันโลกทันธรรม](/images/download_logo.png)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-25393.png)