รูปแบบที่ทำให้รักเป็นพิษ

รูปแบบที่ทำให้รักเป็นพิษ

พฤติกรรมที่ทำให้ความรักเป็นพิษ

เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)

จากรายการทันโลกทันธรรม ออกอากาศทางช่อง GBN

 

 

รูปแบบพฤติกรรมแบบไหนที่มีพิษร้ายแรงต่อความรักอย่างยิ่ง

 

          ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความรักวิเคราะห์ว่ามี 7 รูปแบบหลักด้วยกัน 

 

          1.ความหึงหวง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เพราะเวลาคนรักกันจะมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ ของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่อยากให้ใครมาเป็นเจ้าของร่วมกัน บางครั้งความหึงหวงเล็กน้อยเป็นการแสดงความรู้สึกว่า เป็นห่วงอีกฝ่ายหนึ่ง รักอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าห่วงกันมากเกินไปจะทำให้ความรักเกิดปัญหาได้ อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดว่าไม่ไว้วางใจกัน ทำไมต้องติดตามอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ มักจะมีอารมณ์ใส่กัน อะไรที่ไม่พอดี ทำให้อึดอัดแล้วต้องเลิกรากันในที่สุด

 

          2.ไม่พูดกันตรงๆ เหมือนเล่นเกมส์เดาใจว่าตอนนี้คิดอะไรอยู่ อยากได้อะไรก็ไม่บอกตรงๆ ซึ่งการสื่อสารน่าจะเป็นรูปแบบที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งเดาใจ แต่ละคนเกิดมาพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกันประสบการณ์ต่างกัน จะเดาใจอย่างไร เพราะบางครั้งพฤติกรรม หรือความต้องการยังไม่เหมือนกัน

 

          3.การที่ขู่จะเลิกกันเมื่อมีปัญหาเล็กน้อย หรืออีกฝ่ายทำในสิ่งที่พอใจอีกฝ่าย บางทีเป็นเรื่อง เล็กน้อยแค่คุยกันปรับความเข้าใจกันก็จบ แต่สำหรับบางท่านก็จะขู่ว่าจะเลิก เหมือนกับว่าไปด้วยกันไม่ได้ ต้องการขู่เพื่ออยากลองใจอีกฝ่าย บางครั้งการขู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าทุกครั้งที่มีปัญหากัน ก็ขู่ว่าจะเลิก อีกฝ่ายจะเกิดความรำคาญได้ ขู่ว่าจะเลิกหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เลิกจริงเลยแล้วกัน

 

          4.การขุดคุ้ยความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่าย เอามาทับถมกัน บางทีอาจจะทะเลาะกันด้วยเรื่องใหม่ แล้วเถียงไม่ขึ้นจึงไปขุดเอาความผิดพลาดของอีกฝ่าย มาพูดเพื่อให้มีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายทำผิดเยอะกว่า ซึ่งการขุดคุยความผิดในอดีตไม่เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เรื่องเล็กที่ทะเลาะกันในปัจจุบัน กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าฝ่ายหนึ่งทำผิดในครั้งนี้แทนที่จะขุดคุ้ยความผิดพลาด ให้มองว่าในอดีต เขาทำอะไรดีๆให้กับเราบ้าง ก็จะรู้สึกว่าความผิดพลาดครั้งนี้เป็นเรื่องเล็กไปเลย

 

          5.การระบายอารมณ์โกรธกับคนที่เรารัก บางทีรักกันนานก็อาจจะมองข้ามความสัมพันธ์กันไป รู้สึกว่าสนิทกันมาก บางทีเอาอารมณ์โกรธ จากที่ทำงานมาระบายกับคนที่บ้าน ตรงนี้เป็นสัญญาณของความเห็นแก่ตัวของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว คนที่จะมาเป็นคู่รัก ต้องหัดรักษาอารมณ์ของตัวเอง ต้องฝึกการเก็บอารมณ์ เรียกว่าสร้างอีคิวให้ดีขึ้น ก่อนจะมาแต่งงาน วิธีหนึ่งที่ได้ผลคือ ฝึกสมาธิ(Meditation)  จะทำให้มีภูมิต้านทานมากขึ้น 

 

          6.ไม่ปรึกษากันหรือไม่ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา เนื่องจากไม่อยากจะให้คู่รักของตน ต้องมากังวลใจ แต่เมื่อคู่รักทราบปัญหาจากคนอื่นก็จะมีความรู้สึกว่า เรื่องแค่นี้ไม่บอกคนใกล้ตัวทำไมไม่บอก ทำไมไม่ไว้ใจกัน ก็เลยรู้สึกว่าเป็นคนอื่น เป็นคนห่างไกล อาจเกิดการงอน การทะเลาะวิวาทได้

 

          7.การกำหนดเงื่อนไข ควรจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ คู่รักหลายคู่ตอนแรกที่เริ่มคบหาดูใจกัน ก็ดูเหมือนจะอะลุ่มอล่วยยอมรับความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่เมื่อสนิทกันมากขึ้น กลายเป็นคู่รักแต่งงานไปแล้วก็เริ่มมีการกำหนดเงื่อนไขกันว่า ควรจะทำอย่างนั้นไม่ควรจะทำอย่างนี้ถ้าจะไปไหนต้องขออนุญาตก่อน หรือว่าถ้าจะซื้อของโน่นนี่นั่น จะต้องขออนุญาตก่อน เหมือนไปกำหนดเงื่อนไขให้อีกฝ่ายหนึ่ง อันนี้เกิดจากเมื่อรักกันนั้นนานๆ อยู่ด้วยกันเริ่มมีความเป็นเจ้าของ แล้วเริ่มมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของชีวิตจะไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ฝ่ายหนึ่งพยายามทำในสิ่งที่ตนอยากได้

 

          ความรักคือ ความปรารถนาดี อยากให้คนที่เรารัก มีความสุขแต่บางทีอยู่กันนานจนลืมสิ่งนี้ไป ตาหากกลับไปดูวันแรกที่เริ่มคบกัน นึกถึงความสดชื่นสดใส ที่คบกันใหม่ๆ ก็จะทำให้มีกำลังใจที่จะแก้ปัญหากัน เรียกว่าต้องยิ้มแย้ม เยือกเย็น ยืดหยุ่น และยินยอมกัน 

ทันธรรม...โดยพระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ 

 

          ยุคปัจจุบันสามีทำงาน ภรรยาก็ทำงานทำงานทั้งคู่ กลับมาแล้วอาจจะเลือดโชกทั้งคู่ก็ได้ แต่พอกลับมาถึงบ้าน ต่างฝ่ายต่างก็สมานไมตรีกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ใส่ยาทาแผลซึ่งกันและกัน เสริมกำลังใจกัน ทำให้อบอุ่นมั่นคงทางจิตใจ พร้อมจะไปสู้ศึกในวันรุ่งขึ้น ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันให้ความรักให้ความเอาใจใส่ให้ความรู้สึกว่าเห็นอกเห็นใจแล้วพร้อมจะยืนเคียงข้างเสมอ เป็นความรู้สึกที่เสริมกำลังใจ 

 

          คนในโลกนี้ 7,000,000,000 คน แต่คนทั่วไปจะเหงา แม้จะมีเพื่อนฝูง มีคนรู้จักอยู่มากมายเป็นร้อยเป็นพันก็ตาม แต่ในใจลึกๆ ไม่มั่นใจว่าถ้าตัวเองมีปัญหา จะมีใครบ้างที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างเสมอโดยไม่ละทิ้งกัน ไม่กล้าแม้แต่จะมั่นใจ แต่หากแต่งงานอยู่ในครอบครัวเดียวกันคือครอบด้วยครัว คือร่วมปากร่วมท้องกัน สงเคราะห์กันให้ดี ดูแลกันให้ดี ผูกพันน้ำใจกันให้ดี สร้างบ้านให้กลายเป็นสถานที่อบอุ่นและเป็นป้อมปราการที่มั่นคงของชีวิตได้ เท่ากับมีต้นทุนที่สำคัญมาก 

 

          1 + 1 ไม่ได้เท่ากับ 2 แต่ 1 + 1 กลายเป็น 11 เหมือน เอา 1 เรียงกันกลายเป็น 11 พลังทวีคูณ ถ้าคนเดียวทำอะไรบางทีหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ถ้าเกิดมี 2 คน ช่วยกันจะมั่นใจขึ้น การมีคู่บัดดี้ที่มั่นใจ 100% เป็นประโยชน์มหาศาล 

 

          การจะได้คู่บัดดี้ที่รู้ใจ มีสามีมีภรรยาที่ผูกพันน้ำใจวางใจกันได้สนิทจริงๆ มีดังนี้

 

 

          1.ไม่นอกใจ หากนอกใจไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย คุยกันยาก แสดงว่าไม่จริงใจ เมื่อผูกพันน้ำใจกันแล้ว ต้องจริงใจต่อกันคือไม่นอกใจกัน อย่าไปคิดมีบ้านเล็กบ้านน้อย เอาความอยากของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะอยากแล้วก็ไม่ได้สุขจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่คุ้มค่า ตัวเองก็จะกลุ้ม คู่ครองก็กลุ้ม มีลูกก็เดือดร้อน เพราะฉะนั้นอดใจไว้จากอำนาจกิเลสที่จะยั่วเย้าดึงใจให้ออกนอกลู่นอกทาง 

 

          2.ให้เกียรติกัน มีน้ำใจต่อกัน สามีต้องให้เกียรติภรรยา ภรรยาก็ต้องให้เกียรติสามี ไม่ไปดูถูก ไม่ไปหมิ่นศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย คำพูดประเภทเชือดเฉือนดูหมิ่นอีกฝ่ายอย่าให้หลุดจากปาก เพราะถ้าหลุดจากปากไปจะเป็นบาดแผลในใจ แก้วพอแตก จะสมานอย่างไรก็มีรอยร้าวอยู่ เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติให้ดี บางคำฝังอยู่ในใจตลอดชีวิต แต่หากเผลอหลุดไปแล้ว ก็รีบขอโทษ อย่าไปถือศักดิ์ศรี ยิ่งแก้เร็วยิ่งดีขอโทษเดี๋ยวนั้น ยังไม่ซึมลึกไปข้างใน ก็จะหาย แต่หากปล่อยไว้นาน ก็ยิ่งซึมลึกแล้วยิ่งแก้ยาก 

 

          3.ตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองให้ดี สามีก็ตั้งใจทำงาน หารายได้เข้าครอบครัว ภรรยาเดี๋ยวนี้ก็ทำงานด้วยเหมือนกัน หารายได้เข้าครอบครัวเหมือนกัน แล้วงานบ้านก็แบ่งกัน ช่วยกันทำ ไม่ว่าจะเลี้ยงลูก ดูแลบ้าน ก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ขาดไม่ได้ เราไม่อยู่ ไม่รู้จะดูแลบ้านอย่างไร ต่างฝ่ายต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ก็จะเป็นเครื่องผูกพันน้ำใจที่ดีมากอีกทางหนึ่ง 

 

 

รับชมคลิปวิดีโอรูปแบบที่ทำให้รักเป็นพิษ : ทันโลกทันธรรม