กว่าจะรู้จักกันกาลเวลาพิสูจน์คนมีคำกล่าวว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” การที่จะรู้จักเข้าใจใครสักคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เพราะจิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง กิเลสในใจเปรียบดั่งป่าที่รกชัฏ มีความลึกลับเป็นปริศนาซุกว่อนอยู่มากมาย ทำให้บางทีแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจกระจ่างในตัวเองสักเท่าไหร่ ดังนั้นการทำความรู้จักผู้อื่นในวิสัยของปุถุชน ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาเท่านั้น ยังต้องมีเหตุการณ์ที่เหมาะสมเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนวิธีดูคนไว้ใน สัตตชฎิลสูตร ดังนี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมาตา เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้นในเวลาเย็น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรนักบวชประเภทต่างๆขณะนั้นมีนักบวชประเภทต่างๆ คือ ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว ถือเครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ทันใดนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงห่มพระภูษาเฉวียงพระอังสาข้างหนึ่งทรงจดพระชานุมณฑล (คุกเข่า) เบื้องขวา ณ พื้นแผ่นดินประนมมือไปทางนักบวชเหล่านั้น แล้วทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล ฯลฯ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือพระราชา ปเสนทิโกศล”พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา ทาจุรณจันทน์(เครื่องหอม) อันนำมาจากแคว้นกาสี ทรงมาลาของหอมและเคื่องลูบไล้ ยินดีเงินทอง ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ หรือว่าคนพวกนี้บรรลุอรหัตตมรรคชีวิตการครองเรือนในยุคพระศรีอริยเมตตรัย๑) มหาบพิตร ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ศีลนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้๒) มหาบพิตร ความสะอาดจะพึงรู้ได้ด้วยการงาน ฯลฯ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้๓) มหาบพิตร กำลังใจจะพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ฯลฯ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้๔) มหาบพิตร ปัญญาจะพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ฯลฯ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้”ความสุขในทางโลกพระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้ไว้ดียิ่งนักว่า มหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม ฯลฯ ยากที่จะรู้เรื่องนี้ ฯลฯ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (แท้จริงแล้ว) นักบวชเหล่านั้นเป็นคนของข้าพระองค์ เป็นบุรุษสอดแนม เป็นสายลับเที่ยวสอดแนมไปยังชนบทแล้วพากันกลับมา ข้าพระองค์จะรู้เรื่องราวหลังจากที่คนเหล่านั้นสืบมา บัดนี้คนเหล่านั้นคงจะชำระล้างละอองธุลีนั้นแล้ว อาบสะอาดดี ลูบไล้ผิวดีแล้ว โกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้าขาว เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอข้าพระองค์อยู่”“การดูคนออก” แม้จะเป็นสิ่งที่ยากต้องอาศัยความช่างสังเกต และการฝึกฝนเป็นเวลานาน บางครั้งก็ได้ “ผิดเป็นครู” แต่ก็มีความจำเป็นสำหรับการสร้างบารมีเป็นทีม โดยเฉพาะผู้นำหมู่คณะที่ต้องดูนิสัยของแต่ละคนในทีมให้ออก เพื่อใช้ในการประคับประคองเป็นกัลยาณมิตรแก่คนในทีม ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแก้ไขนิสัยให้แก่เหล่าพระสาวก ในทุกชาติที่เกิดมาเจอกัน อีกทั้งจะรู้เท่าทันคนสามารถป้องกันเหตุเภทภัยที่จะมาถึงหมู่คณะได้อีกด้วยมองดูตนเองแต่ทว่า การดูคนออก ก็มีวิธีลัด คือ “ดูตนเองให้ออก” เสียก่อน โดยการปิดตา เปิดใจ ดูเข้าไปในศูนย์กลางกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่ง เบาสบาย จนเห็นถึงไส้ใน คือ กายในกายต่างๆ จนถึงพระธรรมกายภายใน นั่นแหละจึงจะได้ชื่อว่า “รู้จักตนเอง” อย่างแท้จริง เมื่อเรารู้จักรู้เท่าทันกิเลสภายในตนเองได้ ก็จะสามารถ “ทันโลก ทันคน” ได้ไม่ยากเลยแรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า 129 - 132
http://goo.gl/VQ9g9