จากตอนที่แล้ว บุรุษผู้เป็นตัวแทนของชาวปาจีนยวมัชฌคามได้เดินทางเข้าเฝ้าพระราชาด้วยความองอาจ เข้าไปคุกเข่าภายในท้องพระโรง ต่อเบื้องพระพักตร์ กราบทูลชี้แจงต่อท้าวเธอเรื่องการฟั่นเชือกทราย ท้าวเธอทรงแปลกพระทัยว่า ทำไมถึงเสร็จไวนัก จึงตรัสถามว่า “เชือกทรายที่เราสั่งให้พวกท่านฟั่นมานั้น สำเร็จแล้วรึ?”
บุรุษนั้นจึงกราบทูลว่า “ขณะนี้กำลังฟั่นอยู่ แต่ยังไม่เสร็จ เพราะมีเหตุขัดข้อง คือพระองค์ไม่ได้รับสั่งให้ชัดลงไปว่า เชือกทรายนั้นน่ะ จะให้ฟั่นกี่เกลียว เส้นใหญ่ขนาดไหน ความยาวเท่าไร ข้าพระองค์มาขอพระราชทานเชือกทรายเก่า เพื่อนำไปเป็นแบบสักคืบหนึ่งเถิด พระเจ้าข้า”
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสไปตามเป็นจริงว่า “ในวังของเราไม่เคยมีเชือกทราย เราจะหาเชือกทรายมาให้เจ้าดูเป็นตัวอย่างได้อย่างไรกัน”ชายผู้นั้นจึงกราบทูลว่า “เมื่อพระองค์ไม่อาจหาเชือกทรายมาเป็นตัวอย่างได้ แล้วชาวปาจีนยวมัชฌคามจะฟั่นเชือกทรายมาถวายได้อย่างไรเล่า”
ท้าวเธอจึงรับสั่งถามว่า “ใครเป็นผู้คิดการย้อนปัญหานี้ แล้วส่งเจ้ามา” ครั้นทรงทราบว่า เป็นมโหสถบัณฑิตก็ทรงพอพระทัย ได้พระราชทานรางวัลให้เขาตามสมควร จากนั้นจึงได้หารือกับท่านเสนกะว่าจะทรงรับมโหสถเข้ามาสู่ราชสำนัก แต่ก็ถูกอาจารย์เสนกะทูลยับยั้งไว้เช่นเคย
เมื่อผ่านพ้นปริศนาเรื่องเชือกทรายไปได้ไม่นานนัก พระเจ้าวิเทหราช ผู้ทรงมีพระหฤทัยฝักใฝ่อยากจะได้มโหสถบัณฑิตเข้ามาเป็นมหาบัณฑิตใกล้ชิดอยู่มิเว้นวาย ก็ทรงคิดหาอุบายที่จะทดลองปัญญาของมโหสถขึ้นมาได้อีก เมื่อผูกปัญหาขึ้นจนรัดกุมดีแล้ว จึงมีรับสั่งให้พวกราชบุรุษเข้าเฝ้า เพื่อนำพระบรมราชโองการไปแจ้งให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามทราบอีกครั้ง
เมื่อได้รับราชบัญชาแล้ว พวกราชบุรุษชุดเดิมก็ได้ไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามทราบว่า “เจ้าเหนือหัวมีพระราชประสงค์จะทรงเล่นน้ำในสระ ดังนั้น ขอให้ชาวบ้านปาจีนวยมัชณคามจงส่งสระโบกขรณีอันดารดาษด้วยบัวเบญจพรรณมาถวายพระองค์ โดยให้นำมาไว้ในพระราชวัง ภายในชั่วเวลา ๗ วัน หากไม่อาจส่งมาได้ จักต้องถูกปรับสินไหมพันกหาปณะ”
ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามเมื่อได้ยินพระราชโองการดังนั้นแล้ว ต่างพากันเดือดเนื้อร้อนใจเช่นทุกครั้ง หลายคนบ่นงึมงำด้วยความเบื่อระอาว่า “ปัญหามีมาเสียเรื่อย แต่ละอย่างชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าทั้งนั้น ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลย ว่าพระองค์ทรงส่งปัญหาที่โหดหินถึงปานนี้มากลั่นแกล้งพวกเราทำไมกัน เห็นทีว่าพระองค์คงไม่ทรงโปรดชาวเราหรือไร ถึงได้ทรงมีอคติเช่นนั้น” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
“จริงๆแล้ว ข้าก็ไม่อยากจะคิดเหมือนอย่างที่เจ้าว่าหรอกนะ แต่จะทำอย่างไรได้ ไม่ว่าใครก็คงอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะพระองค์ก็ทรงทราบอยู่เต็มพระราชหฤทัย ว่าคงไม่มีใครหรอกที่จะสามารถส่งสระโบกขรณีไปถวายได้ มีอย่างที่ไหน สระโบกขรณีเคลื่อนที่ได้ แค่คิดก็บ้าแล้ว” ชายอีกคนกล่าวเสริมอย่างมีเหตุผล
ลำดับนั้น ท่านผู้เฒ่าจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า “พวกเจ้านี่ เงียบๆกันบ้างเถอะ เรื่องแค่นี้ทำไมถึงต้องพูดไปให้มากความด้วย ปัญหามีก็ช่วยแก้กันไป เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มถูกผู้เฒ่าขัดเช่นนั้น จึงแกล้งย้อนถามกลับบ้างว่า “อ้าว ท่านผู้เฒ่าพูดอย่างนี้ ก็หมายความว่าท่านรู้วิธีเคลื่อนย้ายสระโบกขรณีแล้วละซิ ไหนท่านช่วยตอบพวกเราที ว่าจะมีอุบายส่งสระโบกขรณีไปถวายเจ้าเหนือหัวอย่างไร”
“เรื่องที่ว่าจะเอาสระโบกขรณีไปถวายอย่างไรนั้นข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้แต่ว่า บ้านปาจีนยวมัชฌคามไม่เคยสิ้นไร้ผู้มีปัญญา ก็พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่า พวกเรายังมีพ่อมโหสถอยู่ทั้งคน ข้าว่าเรื่องนี้่ มโหสถต้องช่วยได้อย่างแน่นอน” ผู้เฒ่ากล่าวแก้ แต่ถึงอย่างไร ชายหนุ่มก็ยังทักท้วงต่อไปว่า “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่เอ...ยังไงข้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า พ่อมโหสถน่ะ ถึงจะมีปัญญาล้ำเลิศแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน หาใช่ผู้มีฤทธิ์ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายสระโบกขรณีไปได้หรอก”
ผู้เฒ่าท่าทางเบื่อชายหนุ่มนั่นเต็มที จึงพูดทิ้งท้ายให้คิดว่า“ที่เจ้ากล่าวมามันก็ถูก แต่อย่าลืมสิว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้พวกเราทำในสิ่งที่เหลือวิสัย ก็อย่างเชือกทรายเมื่อครั้งก่อนอย่างไรกันเล่า เพียงเท่านี้ พ่อมโหสถก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วมิใช่หรือ”
คราวนี้ชายหนุ่มหมดข้อสงสัย ในที่สุดจึงต้องยอมรับแต่โดยดี และพูดขึ้นว่า “ก็จริงของท่าน ถ้าอย่างนั้น พวกเราอย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้ท่านมโหสถทราบกันเถอะ” ต่อจากนั้น ชาวบ้านที่ชุมนุมกันอยู่ในที่นั้น จึงนำความนั้นไปแจ้งแก่มโหสถถึงเรือนของสิริวัฒกเศรษฐีเหมือนเช่นทุกครั้ง
ครั้นมโหสถได้ฟังที่มาของปัญหานั้นจบลง เพียงครู่เดียวเท่านั้น อุบายที่จะใช้แก้ปัญหาดังกล่าว ก็ปรากฏชัดขึ้นมาในใจ เหมือนเห็นฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำใส
การที่มโหสถบัณฑิตมีปัญญามาก มองเห็นวิธีแก้ปัญหาได้อย่างว่องไวเช่นนี้ เพราะท่านได้สั่งสมปัญญาบารมีข้ามภพข้ามชาติมาเป็นเวลาถึง ๔ อสงไขย จะเต็มแสนกัปในกัปนี้แล้ว
ดังนั้น ภูมิปัญญาจึงมากมายสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป เป็นปัญญาที่เหล่าบัณฑิตเรียกว่า สชาติปัญญา คือ มีปัญญาติดตัวมาตั้งแต่เกิด สามารถหาทางออกได้ในทุกปัญหา ตรงข้ามกับคนเขลาเบาปัญญา ที่เรียกว่า คนพาล พวกเขามองเห็นแต่ปัญหา สามารถสร้างปัญหาขึ้นมาได้ในทุกเรื่องเราท่านทั้งหลาย แม้มีปัญญาไม่เทียบเท่ามโหสถ ก็ควรหมั่นศึกษาสั่งสมเรื่อยไป จากการอ่าน การฟัง การสังเกตุสิ่งรอบข้าง คิดพิจารณา และจดจำทำบันทึก ไม่ช้าปัญญาก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นมาตามลำดับ
ส่วนมโหสถครั้นมองเห็นทางออกชัดเจนแล้ว จึงหันมากล่าวกับบิดาว่า “ท่านพ่อครับ ผมอยากจะได้พวกผู้ชายที่ร่างกายกำยำล่ำสัน พูดจาคล่องแคล่ว และกล้าหาญพอที่จะเป็นตัวแทนกราบทูลแด่พระราชาสักห้าหกคนครับ”ส่วนว่า เมื่อมโหสถได้พวกผู้ชายแข็งแรงมาตามที่ต้องการแล้ว จะมีอุบายอย่างไรต่ออีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/RqdOX