อาจารย์ปุกกุสะถึงกับกล่าวเสริมว่า “เขาเกินหน้าเกินตาเรามากนัก ต่อให้เอาค่าของพวกเรามารวมกันก็คงไม่ถึงเศษเสี้ยวของเจ้ามโหสถเป็นแน่”
สำหรับอาจารย์เสนกะนั้น ดูเหมือนจะเป็นทุกข์เป็นร้อนมากกว่าใคร ได้ระบายทุกข์ที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาว่า “เพียงมโหสถคนเดียว เราก็โค่นเขาไม่ลงแล้ว นี่เขายังได้นางอมรามาอีกคน นางน่ะเป็นที่โปรดปรานของท้าวเธอและพระมเหสี รวมทั้งชาวมิถิลาทั้งหมดก็ว่าได้ คิดดูเถอะว่า คราวนี้มโหสถยิ่งจะเหนือชั้นกว่าเราอีกสักเท่าใด เมื่อก่อนนั้น ใครๆต่างก็ยกย่องเราว่าเป็นคนมีค่าของวิเทหรัฐ แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าเหนือหัวทรงลืมพวกเราไปแล้ว ผู้ที่เป็นทาสเขา เจ้านายก็ยังเรียกใช้สอย แม้จะเป็นทาสชนิดเลวก็ยังมีค่ากว่าพวกเรา ก็มโหสถนะเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ นางอมราเล่าก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์ ก็ในเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ยังปรากฏขึ้นสลับกันเรื่อยไปเช่นนี้ แสงดาวอย่างพวกเราจะเหลือค่าอะไร ในที่สุดก็คงไม่ต่างจากผงธุลีดินเป็นแน่”
ครั้นอาจารย์ปุกกุสะ กามินทะ และเทวินทะได้ฟังอาจารย์เสนกะระบายความคับแค้นใจออกมายืดยาวเช่นนั้น ความโกรธแค้นที่มีต่อมโหสถก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นในใจอีกหลายเท่านัก จนอยากจะบดขยี้มโหสถให้แหลกเสียคามือ โดยเฉพาะอาจารย์กามินทะนั้น เลือดขึ้นหน้าจนตาแดงก่ำ กล่าวกับอาจารย์เสนกะว่า “ท่านอาจารย์ บอกมาเถิด จะเอาอย่างไรก็เอากัน พวกเราขอร่วมด้วยเสมอ”
อาจารย์เสนกะเห็นทุกคนเกิดอารมณ์ร่วมเช่นเดียวกับตน จึงกล่าวว่า “อืมม..พูดกันอย่างนี้บ้าง ก็ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะปล่อยให้ข้าพเจ้าคิดเพ้ออยู่คนเดียว เอาล่ะ เรื่องนี้ไม่ยากดอก แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากพวกท่านงานใหญ่จึงจะสำเร็จ” แล้วอาจารย์เสนกะก็เริ่มเปิดเผยแผนการที่ตนคิดไว้ในใจ “ก่อนอื่นเราจะต้องทำให้พระราชาทรงแคลงพระทัยในมโหสถให้ได้เสียก่อน และตอนนี้ ก็เห็นจะไม่มีอะไรดีไปกว่า การทำให้ท้าวเธอทรงรู้สึกว่า มโหสถกำลังคิดการณ์ใหญ่ที่จะช่วงชิงราชบัลลังก์”
อาจารย์เทวินทะได้ฟังก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ รีบท้วงขึ้นว่า “ฮ้า... นี่มันมิใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ แล้วนี่พระราชาจะทรงเชื่อพวกเราหรือ”
อาจารย์เสนกะจึงต้องรีบตัดบทด้วยความรำคาญว่า “เงียบเสียเถอะน่า พวกท่านจงฟังเราก็แล้วกัน” ว่าแล้วอาจารย์เสนกะก็เริ่มอธิบายแผนการของตนโดยละเอียด แจกแจงทุกแง่ทุกมุมจนทุกคนเริ่มมองเห็นช่องทางสำเร็จ เมื่อได้แบ่งหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับไปทำตามแผนที่ได้วางไว้
ต่อมาไม่นาน ที่หน้าเรือนของมโหสถก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นตลอดต่อเนื่องกันถึง ๔ วัน ในวันแรก มีนางทาสีคนหนึ่งหาบหม้อน้ำมันเปรียง เดินผ่านมาด้านหน้าเรือนของมโหสถ พลางร้องตะโกนว่า “เปรียงเจ้าข้าเอ๊ย เปรียงมาแล้วจ้า เชิญซื้อเปรี้ยงเจ้าค่ะ” แล้วนางก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าประตูเรือนของมโหสถ ไม่ยอมไปที่อื่นเลย เหมือนเจาะจงจะขายให้เจ้าของเรือนหลังนี้เพียงผู้เดียว
นางอมราเทวียืนอยู่ที่ประตู สังเกตเห็นกิริยาของแม่ค้าเปรียงนั้นแล้ว ก็คิดว่า “เห็นทีว่าจะต้องมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลเป็นแน่” จึงได้ทำปากบุ้ยใบ้เพื่อส่งสัญญาณให้สาวใช้ในเรือนของตน หลบออกไปให้พ้นจากบริเวณประตูเรือน
เมื่อนางอมราเทวีเห็นแม่ค้าเปรียงเดินวกกลับมาอีก นางจึงเรียกเข้ามาหาใกล้ๆ แม่ค้าเปรียงเห็นนางอมราเทวีเรียก จึงรีบเข้าไปหาทันที พลางถามว่า “นายหญิงจะซื้อหรือเจ้าคะ”
นางอมราเทวีก็ตอบว่า “จ้ะ ฉันจะซื้อเปรียง”
นางอมราเทวีหาได้รับไว้ทันทีไม่ แต่นางได้วานให้แม่ค้าเปรียงผู้นั้น ช่วยไปตามสาวใช้ในเรือนของตนมารับเปรียงนั้นไว้แทน
ฝ่ายแม่ค้าเปรียงนั้นก็มิได้นึกระแวงใจอะไร เพราะเหตุที่นางเป็นเพียงนางทาสธรรมดา ซึ่งรับใช้อยู่ในเรือนของอาจารย์เสนกะ ได้ถูกอาจารย์เสนกะใช้ให้มาขายเปรียง โดยเจาะจงว่าจะต้องขายให้ในเรือนของมโหสถเท่านั้น ครั้นถูกนางอมราไหว้วานเช่นนั้น นางจึงรีบวางหม้อเปรียงนั้นไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปเรียกสาวใช้ในเรือนตามคำของนาง
นางอมราเทวีเห็นแม่ค้าเปรียงเดินเข้าประตูเรือนไปแล้ว จึงรีบเปิดหม้อเปรียงนั้น แล้วรีบเอามือล้วงลงไปในหม้อ ลองคลำไปคลำมาเพียงครู่เดียว ก็พบวัตถุบางอย่างอยู่ที่ก้นหม้อ ครั้นหยิบขึ้นมาดู จึงรู้ว่าเป็นพระจุฬามณี ซึ่งเป็นเครื่องประดับพระเศียรของพระราชา แต่นางก็มิได้ตกใจแต่อย่างใด กลับวางพระจุฬามณีซุกซ่อนลงไว้ในหม้อตามเดิม แล้วรอจนแม่ค้าเปรียงกลับมาพร้อมสาวใช้ของตน แล้วจึงเอ่ยถามว่า “ขอโทษเถอะนะแม่ค้า เธอขายเปรียงมานานแล้วหรือจ๊ะ”
แม่ค้าเปรียงนั้นก็ตอบไปตามตรงว่า “เพิ่งจะเริ่มขายได้ไม่นานหรอกเจ้าค่ะ”“แล้วก่อนนี้เธอมีอาชีพอะไรกันล่ะ” นางอมราซักอีก
แม่ค้านั้นก็ตอบตามตรงว่า “ดิฉันเป็นเพียงสาวใช้ในเรือนของท่านราชบัณฑิตเสนกะเจ้าค่ะ”“อย่างนั้นดอกหรือ แล้วเปรียงนี่เธอจะขายเท่าไหร่ละจ้ะ”
แม้นางอมราเทวีจะท้วงติงอย่างไร แต่แม่ค้าเปรียงนั้นก็ยังคงยืนยันคำเดิมที่จะไม่ขอรับสิ่งใดตอบแทน ในที่สุดนางอมราจึงได้ให้สาวใช้รับหม้อเปรียงนั้นไว้ทั้งหมด
หลังจากแม่ค้าเปรียงกลับไปแล้ว นางอมราก็ได้บันทึกเหตุการณ์นั้นไว้อย่างละเอียดว่า ณ วันนั้น เวลานั้น อาจารย์เสนกะได้ให้สาวใช้นำพระจุฬามณีซ่อนไว้ในหม้อเปรียง แล้วนำมาขายให้กับนาง หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น นางอมราก็มิได้ประมาท ได้เฝ้าสังเกตโดยรอบเรือนอยู่โดยตลอด ส่วนว่า อาจารย์ทั้ง 4 จะดำเนินอุบายอะไรอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/KNglX