จากตอนที่แล้ว บริวารของมโหสถซึ่งรับใช้อยู่ในพระราชสำนัก ได้ยินคำทูลยุยงของอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ทราบว่าท้าวเธอทรงกริ้วต่อมโหสถมาก จึงได้รีบกลับมาแจ้งให้มโหสถทราบ
ครั้นมโหสถรู้ว่าพระราชากริ้วตนเพราะถูกอาจารย์ทั้ง ๔ ทูลยุยง ก็มิได้รอช้า รีบตรงไปเฝ้าพระราชาในทันที แต่ก็ถูกราชบุรุษผู้เฝ้าพระทวารกันเอาไว้ มิให้เข้าเฝ้า จึงจำต้องกลับมาสู่เรือนของตน เพื่อรอเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไป
หลังจากมโหสถกลับไปแล้วไม่นาน พระเจ้าวิเทหราชก็มีรับสั่งกับอาจารย์ทั้ง ๔ ให้จับมโหสถมาลงโทษโดยเร็ว อาจารย์เหล่านั้นก็รีบทูลรับสนองท้าวเธอ สั่งให้ราชบุรุษออกตามจับมโหสถบัณฑิต
แต่ว่ามโหสถก็ไหวตัวทัน ได้เรียกนางอมราเทวีเข้ามาสั่งว่า ตนคงจะต้องหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนชั่วคราว ส่วนตัวเธอจงดูแลเรือนของเราไว้ให้ดี แล้วก็รีบปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา ออกจากกรุงมิถิลามุ่งไปทางใต้สู่บ้านทักขิณยวมัชฌคามในทันที
ไม่นานนัก ข่าวที่มโหสถบัณฑิตหนีออกจากกรุงมิถิลา ก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ชาววิเทหรัฐทั้งหลายได้ทราบข่าว ก็พลันบังเกิดความโกลาหล มหาชนที่มีความรักและเคารพในมโหสถบัณฑิต ต่างก็พากันร้องไห้ด้วยความอาลัยรัก ราวกับว่าจากนี้ไป มิถิลานครจะไม่มีมโหสถอีกแล้ว
เหล่าบัณฑิตทั้งสี่เมื่อเห็นว่าชาวเมืองพากันเศร้าโศกถึงมโหสถ ก็ไม่อาจจะทนอยู่ได้ ในที่สุด จึงออกมาช่วยกันปลุกปลอบชาวเมืองให้คลายความโศก และระงับความโกลาหลที่เกิดขึ้น“พี่น้องชาวมิถิลาทั้งหลาย ขอจงระลึกถึงความหลังบ้างเถิด มิถิลานครก่อนนี้เคยได้ใครกันเล่าช่วยทำนุบำรุงมา หากมิใช่เราทั้งสี่ ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงอย่าเสียใจไปเลย เราพร้อมจะอยู่เคียงข้างท่านทั้งหลาย จะไม่หนีหายไปไหนเลยเพราะบัณฑิตแห่งมิถิลานครมิใช่มีแต่เพียงมโหสถผู้เดียว แม้พวกข้าพเจ้าก็เป็นบัณฑิตแห่งมิถิลานครด้วยเช่นกันมิใช่หรือ”
สิ้นเสียงป่าวร้องของอาจารย์ทั้ง ๔ เสียงอื้ออึงของมหาชนก็ค่อยๆสงบเงียบ บรรยากาศที่ตึงเครียดก็คลี่คลายลงตามลำดับ ครั้นแล้วชาวเมืองที่มาชุมนุมกันในที่นั้น ต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
หลังจากได้ร่วมกันกำจัดมโหสถออกไปจากเมืองสำเร็จแล้ว อาจารย์ทั้งสี่เห็นว่าบัดนี้นางอมราเทวีจำต้องว้าเหว่อยู่เพียงลำพังผู้เดียว จึงต่างหมายมั่นที่จะได้ครอบครองนางอมราเทวีแทนมโหสถบัณฑิต
แม้ว่าความปรารถนาของอาจารย์ทั้งสี่ต่างมาพ้องตรงกันเช่นนี้ แต่ทว่าต่างคนต่างคิด และต่างก็เก็บงำความประสงค์ของตนไว้ในใจ โดยมิได้บอกกล่าวให้ทราบกันมาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เสนกะนั้น นับแต่วันที่มโหสถหนีไป ก็ได้เริ่มวางแผนตีท้ายครัวของมโหสถบัณฑิตก่อนใครๆ ด้วยคิดว่า “บัดนี้ กรุงมิถิลาไม่มีมโหสถอีกแล้ว ธรรมดาหญิงงาม เมื่ออยู่ในราชสำนัก ควรจะต้องได้ผู้สูงศักดิ์คอยปกป้องคุ้มครองจึงจะคู่ควร
นอกจากเราแล้วก็ไม่มีใครที่จะคู่ควรสำหรับนาง หากเราได้นางมาเป็นศรีภรรยาเพิ่มอีกคน ก็จะเสริมบารมีของเราได้อีกไม่น้อยเลย” จึงคิดหาหนทางทอดไมตรีให้แก่นางอยู่เงียบๆ
กระทั่งวันหนึ่ง ก็มีของขวัญล้ำค่าบรรจุห่ออย่างดี ถูกส่งจากเรือนของอาจารย์เสนกะเพื่อนำมามอบให้แด่นางอมรา นางอมราเทวีได้รับบรรณาการที่มีผู้นำมาให้แล้ว ก็รู้ความประสงค์ของอาจารย์เสนกะ
นางจึงดำริในใจว่า “ช่างน่าขันเสียจริง จู่ๆเสือก็เผ่นเข้ามาหาจั่นเอง ทีนี้ล่ะ เราจะทำให้อาจารย์ทั้งสี่ได้รู้จักเข็ดหลาบเสียบ้าง”
ว่าแล้วนางก็คิดหาอุบายซ้อนแผนเพื่อเล่นงานอาจารย์ทั้งสี่ให้สาแก่ใจ โดยได้นัดหมายให้อาจารย์เสนกะมาหานางที่เรือน ฝ่ายอาจารย์เสนกะทราบกำหนดนัดแล้ว ก็ดีใจจนเนื้อเต้น ยิ้มกริ่มออกมาด้วยสีหน้าชื่นมื่น ใจเฝ้าจดจ่อรอคอยวันที่จะได้ไปพบนางอยู่ตลอดเวลา
พอวันถัดมา นางอมราเทวีก็ได้รับของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นบรรณาการจากอาจารย์ปุกกุสะ นางรับสิ่งของนั้นไว้แล้ว ก็ได้นัดหมายให้อาจารย์ปุกกุสะมาหานางที่เรือนเช่นกัน
แต่เพราะนางไม่ต้องการให้ทุกคนมาพร้อมๆกัน จึงได้นัดหมายให้มากันคนละเวลา โดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร
ส่วนอาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินทะนั้นก็เช่นเดียวกัน เมื่อทราบว่านางอมราเทวีรับเอาของขวัญที่ตนส่งไปให้ ก็คงมิต้องกล่าวถึงว่าจะตื่นเต้นดีใจสักเพียงใด
และยิ่งเมื่อรู้ว่านางอมราเทวีเป็นฝ่ายนัดหมายตนให้มาหาที่เรือนของนางอีก ก็ล้วนแสดงอาการลิงโลดด้วยความปลาบปลื้มยินดี ต่างเร่งวันเร่งคืนที่ได้พบหน้านางอมราเทวีอยู่ทุกโมงยาม โดยหารู้ไม่ว่า อีกไม่ช้าพวกตนก็จะไม่ต่างอะไรกับเสือที่จู่ๆก็เผ่นเข้ามาติดจั่นเสียเอง
เมื่อนางอมราเทวีได้นัดกับอาจารย์ทั้งสี่เรียบร้อยแล้ว จึงเรียกสาวใช้มาช่วยกันขุดหลุมลึกจนปีนขึ้นมาไม่ได้ ขนาดจุได้ ๔ คน ให้ทำรั้วล้อมหลุมนั้นไว้ แล้วเทคูถปนน้ำไว้ครึ่งหลุม
ส่วนที่ปากหลุมก็ให้ทำแผ่นกระดานหกใส่ลิ่มสลักไว้ทั้งสองข้าง ช่องว่างที่เหลือให้เอาเสื่อลำแพนปูราบเพื่อปกปิดหลุมนั้นไว้ และใกล้ๆกับแผ่นกระดานนั้น ก็ให้ตั้งตุ่มน้ำสำหรับอาบไว้ใบหนึ่ง
ท้ายที่สุดก็ให้ตบแต่งห้องรับรองนั้นด้วยพวงดอกไม้หอมระรื่น ประดับประดาอย่างงดงาม สมกับเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ยินดีเพื่อแขกผู้มาเยือน
พอตกเย็น อาจารย์เสนกะก็แต่งกายอย่างพิถีพิถันด้วยผ้านุ่งผ้าห่มเนื้อดี ดูสง่างามยิ่งกว่าทุกคราว ครั้นบริโภคอาหารรสเลิศเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เร่งออกเดินทางไปสู่เรือนของมโหสถให้ทันตามนัด
เมื่อมาถึงประตูเรือนของนางแล้ว อาจารย์เสนกะจึงวานให้สาวใช้ ไปแจ้งแก่นางอมราเทวีว่าตนได้มาถึงแล้ว
สาวใช้หายเข้าไปในเรือนครู่หนึ่ง ก็กลับออกมาบอกว่า “นายท่าน บัดนี้นายหญิงของเราพร้อมแล้ว ขอเชิญนายท่านเข้าไปพบได้ตามสะดวก”
อาจารย์เสนกะได้ยินดังนั้น ก็ดีใจนักหนาจนลืมวัยชราของตนเสียสิ้น แล้วจึงรีบสาวท้าวก้าวตามสาวใช้นั้นไปยังห้องรับรองที่นางอมราเทวีเตรียมไว้ด้วยอาการร่าเริง
โดยหารู้ไม่ว่า ตนกำลังเดินเข้าไปสู่ประตูแห่งความอับยศอดสูอย่างที่สุดในชีวิต นี่แหละเขาเรียกว่า ตัณหาราคะทำให้คนเห็นดำเป็นขาว เห็นมืดเป็นสว่าง ไม่เห็นหนทางที่ตนควรดำเนิน ส่วนว่าอาจารย์ทั้ง ๔ จะต้องพบกับความอับอายขนาดไหนนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
http://goo.gl/05YhD