จากตอนที่แล้ว ปุโรหิตได้กล่าววิงวอนพระฤษีสืบไปว่า ข้าพเจ้าจะทูลขออนุญาตพระราชาในวันนี้ ในวันพรุ่งนี้ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดมารับข้าพเจ้าด้วยเถิด ตอนสายปุโรหิตจึงรีบเข้าเฝ้าพระราชา ทูลขอพระราชานุญาตออกบวช
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระฤษีมาถึงเรือนแล้ว ปุโรหิตได้ถวายภิกษาหารให้ท่านได้ขบฉันเสร็จแล้ว พระฤษีก็พาปุโรหิตเหาะไปป่าหิมพานต์ ได้จัดการบวชให้ปุโรหิตเป็นฤษีในวันนั้นนั่นเองเพียงไม่กี่วัน ฤษีปุโรหิตก็ได้ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้น แล้วนึกถึงคำปฏิญญาที่ได้ถวายไว้แก่พระราชา จึงได้เหาะกลับมาสู่เมืองพาราณสีเพื่อเปลื้องปฏิญญานั้น พระราชาทรงเห็นเข้าก็จำได้ ทรงเกิดปีติโสมนัส ตรัสนิมนต์ให้เข้าสู่พระราชนิเวศน์
ทรงถวายอาหารอันประณีต พร้อมทั้งตรัสถามความเป็นอยู่ของพระฤษี เมื่อทราบความทั้งหมดแล้ว จึงตรัสบอกถึงความประสงค์ว่าทรงอยากจะถวายภิกษาหารแก่พระฤษีทั้งหมด จึงขอให้พระฤษีปุโรหิตเป็นธุระนิมนต์ฤษีทั้ง ๑๐,๐๐๐ ตนให้ด้วย
พระฤษีปุโรหิตจึงทูลว่า ขอให้พระราชาจงเสด็จไปประทับอยู่ที่ ฝั่งแม่น้ำสีทา แล้วจงถวายทานแก่ท่านเหล่านั้น ณ ที่นั้นเถิด พระราชาก็ทรงรับคำ แล้วเสด็จนำไพร่พลไปตั้งค่ายหลวง ณ ริมฝั่งแม่น้ำสีทา ได้ถวายภิกษาหารแด่พระฤษีทั้งหมดอยู่เช่นนั้น สิ้นกาลยาวนานถึงหนึ่งหมื่นปี
ท้าวสักกะเทวราช เมื่อตรัสเรื่องในอดีตจบลงแล้ว จึงตรัสบอกพระเจ้าเนมิราชว่า “พระเจ้าพาราณสีในกาลนั้นน่ะ ไม่ใช่ใครอื่นเลย นั่นคือหม่อมฉันเอง หม่อมฉันเป็นผู้เลิศด้วยทานในครั้งนั้น แต่หม่อมฉันนี่ก็ไม่สามารถก้าวล่วงกามภพไปบังเกิดในพรหมโลกได้
ส่วนฤษีทั้งหมดผู้บริโภคอาหารทานของหม่อมฉันต่างหาก กลับก้าวล่วงกามาวจรภูมิ แล้วได้ไปบังเกิดในพรหมโลก เพราะท่านเหล่านั้นบริสุทธิ์มากกว่าตัวหม่อมฉัน ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิตนั่นเอง
มหาบพิตร พรหมจรรย์นี้แหละประเสริฐกว่าทาน แต่แม้การประพฤติพรหมจรรย์จะมีผลานิสงส์มากกว่าทาน แต่ธรรมทั้งสองนั้นเป็นสิ่งคู่กัน ต้องไปด้วยกัน
เพราะฉะนั้น พระองค์อย่าได้ทรงประมาทในธรรมทั้งสอง จงบริจาคทานและรักษาศีล ประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงพร้อมเถิด” ตรัสฉะนี้แล้ว จึงเสด็จกลับดาวดึงส์พิมาน
ขณะนั้น ทวยเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กำลังประชุมกันอยู่ที่เทวสภา เพื่อรอคอยการเสด็จมาของท้าวสักกเทวราช
ครั้นพระองค์ปรากฏพระกายขึ้นในท่ามกลางมหาเทวสมาคมเท่านั้น เหล่าเทวดาก็ทูลถามกันอื้ออึง แต่ทุกตนล้วนถามประเด็นเดียวกันคือ ข้าแต่จอมเทวะ พระองค์หายไปไหนมิได้ปรากฏ พระองค์เสด็จไปที่ไหนมาหนอ
ท้าวสักกะตรัสเล่าถึงภารกิจที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นไป พร้อมทั้งประกาศแก่เหล่าเทวดาทั้งหมดที่มาประชุมกันว่า “ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระเจ้าเนมิราชเป็นมนุษย์ผู้ทรงธรรม เป็นบัณฑิต
พระองค์ผู้ทรงเป็นจอมราชาของชาววิเทหรัฐ ทรงใช้กุศลธรรมเป็นอาวุธในการปราบปรามข้าศึก ทรงบำเพ็ญกุศล ถวายทานเป็นอาจิณทั้งแด่สมณพราหมณ์ และแก่ยาจกวณิพกทุกคน จนกระทั่งพระองค์ทรงสงสัยว่า ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน และเราก็ได้ถวายคำตอบให้แก่พระองค์ไปแล้ว ดังที่เล่าให้พวกท่านฟังแล้วไงล่ะ”
ปวงเทวาต่างชื่นชมอนุโมทนาในบุญบารมีของพระเจ้าเนมิราช มีความประสงค์จะเห็นพระเจ้าเนมิราช จึงกราบทูลท้าวสักกเทวราชว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ พวกข้าพระองค์อยากจะเห็นพระเจ้าเนมิราช ผู้เป็นอาจารย์ของพวกข้าพระองค์ เพราะพวกข้าพระองค์นั้นในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ ก็ได้ตั้งอยู่ในโอวาทของท้าวเธอ และเพราะได้อาศัยท้าวเธอ จึงทำให้พวกข้าพระองค์ได้มาเสวยทิพยสมบัติเช่นนี้ ขอจอมเทวะโปรดได้เชิญเสด็จพระองค์มา ณ ดาวดึงส์แดนสวรรค์นี้เถิด พระเจ้าข้า”
ท้าวสักกเทวราชทรงมีพระประสงค์จะทรงทำเทวดาเหล่านั้นให้สมหวัง และทรงพิจารณาเห็นว่าพระเจ้าเนมิราชมีบุญบารมีมากพอที่จะเสด็จขึ้นมาบนเทวโลกนี้ได้ด้วยกายเนื้อ จึงมีเทวบัญชามายังมาตลีเทพสารถีให้เตรียมเวชยันตรถ เพื่อไปเชื้อเชิญพระเจ้าเนมิราช ผู้ครองกรุงมิถิลา ให้เสด็จขึ้นทิพยานนำมาสู่ดาวดึงส์ทิพยวิมานนี้
ธรรมดา การที่มนุษย์จะไปสู่สวรรค์ได้นั้น ก็ต่อเมื่อหลังจากที่ตายจากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น จึงจะไปสู่เทวโลกด้วยกายทิพย์ แต่ก็ต้องเป็นบุคคลที่ได้สั่งสมบุญเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
แต่ในกรณีของพระเจ้าเนมิราชนี้ พระองค์เป็นบุคคลพิเศษที่มีความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจมาก และรักในการสั่งสมบุญบารมี ประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่งยวดจริงๆ จึงได้เสด็จไปสู่สวรรค์ได้ด้วยกายเนื้อ โดยที่มาตลีเทพสารถีนำเทวรถมุ่งตรงลงมารับพระองค์ยังมนุษยโลก
ก็ในวันนั้น เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ พระเจ้าเนมิราชได้ทรงสมาทานรักษาอุโบสถศีลอยู่ตามปกติ พระองค์ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออก ประทับนั่งในพระตำหนัก มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อมอยู่
ในขณะที่พระองค์ทรงพิจารณาถึงความบริสุทธ์แห่งศีล ที่พระองค์ทรงประพฤติอยู่นั้น เวชยันตรถก็ปรากฏทางทิศใต้ และในขณะเดียวกันดวงจันทร์ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ซึ่งทอแสงสว่างไสวกันคนละฟากทิศของพระนคร ดูช่างงดงามยิ่งนัก
ชาวเมืองพาราณสีเมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ก็ออกมานั่งพูดคุยกันอยู่ที่นอกชานหน้าบ้านของตน เมื่อเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว ต่างก็ตื่นเต้นชี้ชวนกันและกันให้มองดู พร้อมทั้งพูดว่า “ดูนั่นซิ วันนี้มีพระจันทร์ขึ้นทางทิศใต้อีก ๑ ดวง”
ขณะนั้น เวชยันตรถก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำให้ชาวเมืองมองเห็นอย่างชัดเจน แล้วจึงรู้ นั่นน่ะไม่ใช่ดวงจันทร์ แต่เป็นเวชยันตรถที่เทียมด้วยม้าสินธพประมาณพันตัว ซึ่งมีมาตลีเทพบุตรขับนำมา
มหาชนต่างตื่นเต้นออกจากบ้านเรือนของตนมาแห่แหนดูกันทั้งเมือง ณ ตรงจุดที่เวชยันตเทวรถปรากฏนั้น เกิดสว่างเหมือนดังกลางวัน เพราะอำนาจการทอแสงเรืองรองของดวงจันทร์ และรัศมีของเหล่าทวยเทพที่มารับพระเจ้าเนมิราชชาวเมืองต่างประจักษ์ว่า ทิพยานที่มาจากสวรรค์นี้มาเพื่อพระราชาผู้เป็นธรรมิกราชของพวกตนอย่างแน่นอน พวกเขาก็ยิ่งร่าเริงกล่าวแซ่ซ้องสดุดีพระเจ้าเนมิราชกันด้วยความภาคภูมิใจว่า แม้แต่เทวรถจากสวรรค์ก็ยังมาเพื่อชื่นชมบารมีของพระองค์ ส่วนว่า เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
http://goo.gl/Gh72k