จากตอนที่แล้ว นางปาริกาได้ตอบปฏิเสธความอารีของพระเจ้าปิลยักขราชที่พระองค์จะทรงขออยู่รับใช้ว่า ไม่สมควรเลยที่พระองค์จะทรงยอมลำบากมาเลี้ยงดูพวกเราผู้ตาบอดเช่นนี้ พวกเราขอเพียงได้พบกับสุวรรณสาม ได้สัมผัสดวงหน้าอันงดงามของเธออีกสักครั้งหนึ่งก็พอ
พระราชาทรงลำบากพระทัยยิ่งนักที่จะพาสองฤษีไปดูสภาพของบุตร ซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือด นอนคลุกทรายอยู่เช่นนั้น เมื่อทรงเห็นดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าจึงตรัสว่า ในยามนี้ก็ใกล้มืดแล้ว สุวรรณสามอยู่ในป่าใหญ่ฟากโน้น ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ผู้เป็นเจ้าทั้งสองอย่าเพิ่งไปเลย
แต่ฤษีทั้งสองก็ยังคงยืนยันที่จะไปให้ได้ โดยได้พูดว่า ในป่าแม้จะเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายตั้งร้อย ตั้งพัน เราทั้งสองก็ไม่กลัวสัตว์ป่าเหล่านั้น พระราชาได้สดับคำยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น จึงทรงยินยอมนำฤษีทั้งสองไปหาสุวรรณสาม โดยทรงจูงมือฤษีผู้ตาบอดคลำทางเข้าไปในป่าใหญ่เมื่อรู้ว่าตนมาถึงลูกแล้ว ฤษีทั้งสองก็ทรุดกายลงประคองร่างของลูกร่ำไห้ ฤษีผู้บิดาได้ช้อนศีรษะขึ้นวางไว้บนตัก ฤษิณีผู้มารดา ได้ยกเท้าทั้งสองขึ้นกอดไว้แนบอก รำพันว่า พ่อสามะของแม่ เจ้าต้องมานอนเกลือกฝุ่นทราย เจ้ามาหลับใหลเหมือนคนเมาสุรา เจ้าโกรธเคืองใครหรือจึงไม่ยอมพูดจาอะไรกับแม่บ้างเลย
ทุกูลฤษีก็มิอาจระงับความโศกาดูรไว้เช่นกัน ได้รำพัน เจ้าต้องจากพ่อไปจริงๆ หรือ ต่อจากนี้ไป ใครเล่าจะชำระชฎาคราวที่เปื้อนฝุ่นละอองของพ่อ ใครเล่าจะจับไม้กวาดคอยปัดกวาดอาศรม ไม่มีเจ้าแล้วพ่อกับแม่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไรท่ามกลางป่าร้างเช่นนี้
ฝ่ายฤษิณีก็โศกครวญไม่แพ้กัน ได้บ่นเพ้อเป็นหนักหนา ใช้สองมือลูบคลำดวงหน้าและสรีระของสุวรรณสาม เหมือนดั่งว่าจะได้เห็นได้สัมผัสบุตรเป็นครั้งสุดท้าย
และแล้วเมื่อนางเอามือไปอังที่หน้าอกสุวรรณสาม นางได้สัมผัสกับความอบอุ่นในร่างกายของพระโพธิสัตว์ จึงฉุกคิดขึ้นว่า “ธรรมดาคนที่ตายแล้วนั้นร่างกายย่อมเย็นเยือก แต่ลูกของเราร่างกายยังอุ่นอยู่ ลูกเรายังไม่ตายกระมัง”
เมื่อรู้ว่า สุวรรณสามพระโพธิสัตว์นั้นยังไม่ตาย นางปาริกาฤษิณีก็ดีใจยิ่งนัก ได้ร้องบอกทุกูลฤษีว่า “ท่านทุกูละ ลูกของเรายังไม่ตายกระมัง ร่างกายลูกของเรายังอบอุ่นอยู่ ท่านดูสิ ลูกเรายังไม่ตาย”
ด้วยความรักในบุตร นางจึงคิดหาวิธีที่จะช่วยบุตรให้กลับฟื้นขึ้นมาให้ได้ ครั้นไม่เห็นหนทางอื่นใดที่จะช่วยลูกได้ นางจึงประนมมือขึ้น ระลึกถึงบุญ และคุณความดีที่สุวรรณสามได้กระทำมาโดยตลอด
แล้วตั้งสัจกิริยาเบื้องหน้าร่างอันแน่นิ่งของบุตรว่า “ตลอดกาลที่ผ่านมา ลูกสามะของเรา ได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ
...ได้เป็นผู้กล่าวคำสัตย์จริงมาโดยตลอด ได้เป็นผู้เลี้ยงดูบิดามารดา เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล ทั้งยังเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของข้าพเจ้า
... ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงทั้งหมดนี้ ขอให้พิษของลูกสามะจงหายไป บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เรา และแก่บิดาของเธอ หากมีอยู่ ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งหมดนั้น ขอพิษของลูกสามะจงหายไปในบัดนี้ด้วยเถิด”เมื่อนางปาริกาฤษิณีได้ตั้งสัจจกิริยาจบลง อานุภาพแห่งคำสัตย์นั้น ทำให้ร่างกายที่แข็งกระด้างประหนึ่งท่อนไม้ บัดนี้เริ่มอ่อนนุ่ม และเริ่มขยับตัวได้
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ก็ดีใจอย่างสุดประมาณ ทุกูลฤษีจึงรีบตั้งสัจจกิริยาตอกย้ำในคำกล่าวเดียวกับนางปาริกาว่า “ตลอดกาลที่ผ่านมา ลูกสามะ เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ
...ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้กล่าวคำสัตย์จริงมาโดยตลอด ได้เป็นผู้เลี้ยงดูบิดามารดา เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล และเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา
...ด้วยการกล่าวความจริงนั้น ขอพิษของลูกสามะจงหายไป บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เรา และแก่มารดาของเธอ หากมีอยู่ ด้วยอานุภาพบุญกุศลทั้งหมดนั้น ขอพิษของลูกสามะจงหายไปในบัดนี้ด้วยเถิด”
เมื่อสิ้นคำสัตย์ของทุกูลฤษีแล้ว ร่างของพระโพธิสัตว์ก็พลิกตัวกลับสู่อีกด้านหนึ่งแต่ยังไม่ฟื้นคืนสติแต่อย่างใด
ในขณะนั้นเอง นางเทพธิดาพสุนทรี ซึ่งเป็นมารดาในครั้งอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ บัดนี้อาศัยอยู่ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ได้ใช้ทิพยจักษุเล็งแลมายังพระโพธิสัตว์ตลอดเวลา
ครั้นเห็นฤษีทั้งสองตั้งสัจกิริยาเพื่อช่วยสุวรรณสามแล้ว นางจึงอันตรธานจากภูเขาคันธมาทน์ มาปรากฏกายอยู่เบื้องบนนภากาศ เหนือฤษีทั้งสาม
แล้วกล่าวสัจจวาจาเพื่อช่วยสุวรรณสามว่า “เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มาตลอดกาลนาน ใครอื่นที่จะเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสุวรรณสามนั้นไม่มีเลย
...ณ คันธมาทน์บรรพตแห่งนี้มากมีด้วยต้นไม้ ล้วนเป็นไม้หอมทั้งหมด ไม่มีต้นไม้ใดที่ปราศจากกลิ่นหอม ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามะกุมารจงหายไปด้วยเถิด”
เมื่อสิ้นเสียงของนางเทพธิดาพสุนทรี เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้นพร้อมกันถึง 4 อย่างคือ ความเจ็บป่วยของสุวรรณสามพระโพธิสัตว์ได้คลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้รอยแผลอันเกิดจากการถูกยิงก็กลับเลือนหายไปไม่ปรากฏรอยแผลใดๆเลย
ประการที่สอง ฤษีผู้เป็นบิดามารดาพระโพธิสัตว์ได้ดวงตากลับคืนมา สามารถมองเห็นเป็นปกติดังเดิม
ประการที่สาม ชนทั้งหมด คือ สุวรรณสาม ฤษีทั้งสอง และพระราชานั้น ได้หายตัวจากริมฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตาไปปรากฏตัวอยู่ที่อาศรมอย่างเป็นอัศจรรย์
และเหตุการณ์ทั้งสามนั้น บังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับแสงแห่งอรุณรุ่งพลันปรากฏขึ้นที่ฟากฟ้าเบื้องบูรพทิศ ขับไล่ความมืดมิดให้เลือนหายจากผืนป่าอีกคราหนึ่ง
ชนทั้งหมดต่างร่าเริงยินดี ดวงหน้าที่เศร้าโศกเมื่อครู่บัดนี้ได้กลายเป็นยิ้มแย้มเบิกบาน สุวรรณสามได้กล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกภายหลังจากที่ฟื้นคืนสติว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านด้วยเถิด”
กล่าวดังนี้แล้วก็ได้พยุงกายลุกขึ้น แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้วโดยสวัสดี ขอท่านทั้งสองอย่าได้คร่ำครวญอีกเลย จงพูดกับข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะดังเดิมเถิด”
นี้คืออานุภาพแห่งคุณความดีที่ท่านทั้งสามได้บำเพ็ญมา เมื่อได้ผนวกกับสัจกิริยาที่ท่านฤษีทั้งสองได้กล่าวอ้างแล้ว ก็เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ สามารถขับไล่พิษร้ายของอสรพิษให้จางหายไป ดังนั้น ความดีจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพราะหากปราศจากความดีแล้ว เมื่อยามทุกข์เข็ญมาเยือนเราจะกล่าวอ้างสิ่งใด ส่วนเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
http://goo.gl/xcaIk