จากตอนที่แล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อโคฬกาฬ เป็นคนรูปร่างต่ำเตี้ยคล้ายคนแคระ มีผิวดำ ซ้ำยังเป็นคนจนขัดสนทรัพย์ แต่กลับไปตกหลุมรักสาวงามนางหนึ่งชื่อทีฆตาลา ถึงกับยอมพลีตนไปรับใช้บิดามารดาของนางอยู่ถึง ๗ ปี บิดามารดาของนางเห็นใจ จึงตกลงยกลูกสาวให้เป็นภรรยา
นายโคฬกาฬครั้นได้นางทีฆตาลามาเป็นคู่ครองแล้ว ก็เฝ้าทะนุถนอมนางด้วยดีดั่งไข่ในหิน กระทั่งวันหนึ่ง นายโคฬกาฬอยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่ของตน จึงให้ภรรยาช่วยทอดขนมให้
เมื่อเตรียมเสบียงพร้อมกับขนมของฝากเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางกับภรรยา ไปถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งไม่ลึกนัก แต่สองสามีภรรยาเป็นคนขลาดจึงไม่กล้าเดินข้ามแม่น้ำ เวลานั้นก็มีชายเข็ญใจชื่อ ทีฆปิฏฐิ มารับอาสาพาข้ามแม่น้ำ โดยนำภรรยาของเขากับเสบียงเดินทางข้ามไปก่อน
แต่ครั้นเขาพานางทีฆตาลาไปถึงกลางแม่น้ำ ก็พูดเกี้ยวว่า “ฉันจะเลี้ยงดูเธออย่างดี จะไม่ให้ต้องลำบากอะไรเลย ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับจะหาให้ จะมีทาสหญิงทาสชายคอยแวดล้อมรับใช้ เธอมาอยู่กับฉันเถิด” นางทีฆตาลาก็หลงเชื่อคารมตัดรักจากสามี ยอมที่จะไปด้วยกับเขา
เมื่อคนทั้งสองไปถึงฝั่งโน้น ก็แสดงความชื่นชมยินดีต่อกัน พากันกินขนมต่อหน้านายโคฬกาฬซึ่งชะเง้อคอรออยู่ที่ฝั่งนี้ เมื่ออิ่มหนำดีแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินจากไป
นายโคฬกาฬ เมื่อรู้ว่าตนถูกหลอกพาภรรยาหนีไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ก็เร่าร้อนใจตะโกนก้องว่า “พวกแกจะพากันหนีไปไหน คอยข้าด้วย กลับมารับข้าก่อน” ได้แต่วิ่งกลับไปกลับมาบนฝั่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อนึกถึงภรรยาสุดที่รักที่กำลังถูกชิงตัวไป จึงรีบวิ่งลงไปในน้ำไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับขึ้นมาอีกเพราะความกลัว ครั้นรวบรวมความกล้าได้อีกครั้ง ก็รีบวิ่งลงไปในแม่น้ำอีกหนด้วยความโกรธ กระโจนลงไปด้วยปลงใจว่าจะเป็นหรือตายก็ช่างเถิด ขอเพียงให้ได้ภรรยาคืนมา
เมื่อลงไปในแม่น้ำเข้าจริงๆ ถึงรู้ว่าน้ำตื้น จึงรีบวิ่งลุยตะกุยตะกายข้ามแม่น้ำติดตามไปโดยเร็ว พอทันคนทั้งสองเข้าจึงตะโกนด่าว่า “นี่แน่ะ อ้ายโจรร้าย แกจะพาเมียข้าไปไหน”
นายทีฆปิฏฐิกล่าวตอบว่า “แน่ะ อ้ายถ่อยแคระเตี้ย เมียแกที่ไหนเล่า เมียข้าต่างหาก”กล่าวดังนี้แล้วก็เอามือผลักนายโคฬกาฬให้ล้มกลิ้งไป
นายโคฬกาฬรีบลุกขึ้นจับมือนางทีฆตาลาแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวๆ นี่เธอจะไปไหน ฉันทำงานมาถึง ๗ ปี จึงได้เธอมาเป็นเมีย แล้วเธอจะมาหนีฉันไปดื้อๆ ทำอย่างนี้จะได้ไง” ยื้อแย่งอยู่กับภรรยาของตน ทั้งเดินทะเลาะไปกับนายทีฆปิฏฐิ จนมาถึงที่ใกล้ศาลา
ของมโหสถบัณฑิต
มโหสถบัณฑิตจึงถามมหาชนที่มาประชุมกันฟังธรรมอยู่ในที่นั้นว่า “นั่นเสียงอะไรกัน” สดับความนั้นแล้วจึงให้เรียกคนทั้งสองเข้ามา ได้ฟังวาจาที่โต้ตอบกันแล้ว จึงกล่าวว่า “เราจะวินิจฉัยความให้ เจ้าทั้งสองจะตั้งอยู่ในคำตัดสินของเราหรือไม่”
ครั้นคนทั้งสองแสดงความจำนงยอมรับความอารี มโหสถบัณฑิตจึงเอ่ยถามนายทีฆปิฏฐิก่อนว่า “เจ้าชื่ออะไร”“ข้าพเจ้าชื่อทีฆปิฏฐิ” เขาบอกชื่อของเขาตามความจริง“พ่อแม่ของเจ้าชื่ออะไร” นายทีฆปิฏฐิก็บอกชื่อคนอื่นแทน“พ่อแม่ของภรรยาของเจ้าละ ชื่ออะไร” เมื่อยังไม่รู้จัก นายทีฆปิฏฐิก็บอกชื่อคนอื่นแทนเรื่อยไป
ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงให้คนของตนบันทึกถ้อยคำนั้นไว้ แล้วให้นายทีฆปิฏฐิออกไป ให้เรียกนายโคฬกาฬเข้ามา ถามชื่อของคนทั้งปวงโดยนัยก่อน นายโคฬกาฬรู้จักคนทั้งหมดเป็นอย่างดี ก็บอกไปตามความเป็นจริง“ฉันชื่อทีฆตาลา” เธอกล่าว
“สามีของเธอชื่ออะไร” เมื่อยังไม่รู้จัก นางทีฆตาลาจึงบอกชื่อคนอื่นแทน
“พ่อแม่ของเธอชื่ออะไร” นางทีฆตาลาก็บอกชื่อพ่อชื่อแม่ของเธอตามเป็นจริง
มโหสถบัณฑิตให้เรียกนายทีฆปิฏฐิและนายโคฬกาฬมาแล้วถามมหาชนว่า “ถ้อยคำของนางทีฆตาลาตรงกันกับคำของนายทีฆปิฏฐิ หรือว่าตรงกับคำของนายโคฬกาฬ”มหาชนตอบว่า “ถ้อยคำของนางทีฆตาลาตรงกับคำของนายโคฬกาฬ”
มโหสถบัณฑิตจึงกล่าวว่า “นายโคฬกาฬเป็นสามีของนางทีฆตาลา นายทีฆปิฏฐิเป็นโจร” ครั้นแล้วจึงถามนายทีฆปิฏฐิว่า “เจ้าเป็นโจรใช่ไหม” นายทีฆปิฏฐิจึงต้องรับสารภาพว่าตนเป็นโจร
นายโคฬกาฬเมื่อได้ภรรยาของตนกลับคืนมา ก็ดีใจเหมือนดังว่าได้นางแก้วกลับคืน เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของมโหสถบัณฑิตเป็นอย่างยิ่ง ได้กล่าวชื่นชมมโหสถบัณฑิตอย่างมากมาย แล้วก็พาภรรยากลับไป
จากนั้นมโหสถบัณฑิตก็ได้กล่าวเตือนนายทีฆปิฏฐิว่า “จำเดิมแต่นี้ไปเจ้าอย่าทำอย่างนี้อีก” ครั้นให้โอวาทเสร็จแล้วจึงปล่อยตัวไป
ฝ่ายอำมาตย์ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ได้ให้ทูตส่งสาส์นทูลเรื่องนี้แด่พระราชาตามความเป็นจริง พระเจ้าวิเทหราชครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็ตรัสถามเสนกปุโรหิตว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ เราควรนำบัณฑิตนั้นมาได้หรือยัง”
อาจารย์เสนกะทูลว่า “ข้าแต่มหาราช คดีเรื่องนายโคฬกาฬใคร ๆ ก็วินิจฉัยได้ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอให้ทรงรอไปก่อนเถิด”
อุปนิสัยแห่งความเป็นคนตระหนี่ อิจฉาริษยา เริ่มปรากฏอย่างชัดเจนกับอาจารย์เสนกะ ช่วงแรกก็พรรณนาคุณของพระโพธิสัตว์มากมาย แต่ภายหลังเกรงว่าตนจะหมดความสำคัญ จึงคิดกีดกันพระโพธิสัตว์ไปเสียทุกเรื่อง
อุปนิสัยอิจฉาริษยานี้ มีวิบากกรรม คือเมื่อไปเกิดในชาติต่อไปจะทำให้เป็นคนอาภัพ อับวาสนา มียศศักดิ์น้อยด้อยราคา จะแก้ได้ก็ด้วยการแสดงมุทิตาพลอยยินดีกับผู้อื่นที่เขาได้ดีมีสุข จึงควรรีบแสดงความยินดีต่อผู้อื่นในทันทีที่เขาประสบความสำเร็จ อย่าทันให้ความริษยาเข้าครองใจ
นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างปัญญาบารมีของมโหสถบัณฑิตเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์อีกมากมาย ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสติปัญญาอันชาญฉลาดของพระโพธิสัตว์ อีกทั้งความเป็นไปทั้งหมดก็อยู่ในสายพระเนตรของพระราชาตลอด พระองค์จะต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้มโหสถบัณฑิตเข้ามารับราชการ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-2470.png)
http://goo.gl/HDFh8