จากตอนที่แล้ว อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินทะ ได้กลับไปคิดแก้ปัญหาของพระราชา ขบคิดเท่าไรๆ ก็ไม่เห็นคำตอบ จึงพากันไปปรึกษาท่านเสนกะผู้เป็นผู้นำคณะ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่ออาจารย์เสนกะยอมรับว่า แม้นตนก็ยังคิดไม่ออกเช่นกัน แต่เมื่อจนแต้มเข้าจริงๆ เพื่อความอยู่รอดของพวกตน อาจารย์เสนกะจึงต้องบากหน้าพาบัณฑิตทั้ง ๓ ไปขอความช่วยเหลือจากมโหสถ
ฝ่ายมโหสถบัณฑิตครั้นทราบว่าอาจารย์ทั้ง ๔ พากันมาหาตน ก็รู้ทันทีว่ามิใช่เรื่องอื่นแน่ จึงออกมาต้อนรับ เมื่อถูกถามถึงเรื่องปัญหานั้นว่า พ่อบัณฑิตคิดคิดปริศนานั้นได้หรือยังล่ะ จึงตอบทันทีว่า “ หากกระผมคิดไม่ได้ แล้วท่านคิดว่าใครเล่าจะคิดได้”
ในที่สุดมโหสถบัณฑิตจึงผูกคาถาขึ้น ๔ บท ซึ่งแต่ละบทมีเนื้อความต่างกัน แล้วก็ให้อาจารย์ทั้ง ๔ เรียนคาถานั้นคนละบท โดยให้ลดตัวลงนั่งบนอาสนะที่ต่ำกว่าตน พร้อมกับให้ประนมมือน้อมรับคาถานั้น แล้วกำชับว่า “ในเวลาที่พระราชาตรัสถาม ก็พึงกล่าวคาถานี้ไปตามที่ข้าพเจ้าบอกเถิด”
อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อได้คาถานั้นแล้วก็พากันโล่งใจไปตามๆกัน ราวกับยกภูเขาอันมหึมาออกไปจากอก แม้จะไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของคาถานั้น แต่ทุกคนก็มั่นใจว่า คงพอจะรอดวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ครั้นจำคาถานั้นได้ดีแล้ว จึงได้ขอตัวแยกย้ายกลับสู่เรือนของตน
ครั้นวันรุ่งขึ้น เหล่าราชบัณฑิตก็พากันมาเข้าเฝ้าพระราชา ณ ท้องพระโรงเช่นเมื่อวาน ท้าวเธอเสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์แล้ว ก็มิได้ทรงตรัสถึงเรื่องอื่นเลย แต่ทรงมีพระราชดำรัสถามอาจารย์เสนกะทันทีว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านทราบคำตอบแล้วหรือ”
อาจารย์เสนกะยืดอกขึ้นกราบทูลอย่างองอาจว่า “ขอเดชะ หากข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบแล้ว ใครเล่าจะทราบ”
ท้าวเธอทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย พลางรับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านว่ามาเถิด”
“ข้าแต่เจ้าเหนือหัว ขอพระองค์ทรงสดับคำของข้าพระพุทธเจ้าเถิด” อาจารย์เสนกะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางองอาจ
ครั้นแล้วก็กล่าวแก้ปริศนานั้นด้วยคาถาที่ตนได้เรียนมาจากมโหสถว่า “เนื้อแพะย่อมเป็นที่โปรดปรานของชนทั้งปวง แต่เนื้อสุนัขนั้นหามีใครบริโภคไม่ น่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร บัดนี้แพะกับสุนัขก็มาเป็นสหายกันได้”
ท่านเสนกะกล่าวคาถานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งๆที่ตนเองก็มิได้เข้าใจความหมายเลยแม้แต่น้อย แต่พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นเป็นอย่างดี จึงทรงเข้าพระทัยว่า ท่านเสนกะรู้เรื่องนี้จริง ท้าวเธอจึงทรงผินพระพักตร์ไปทางอาจารย์ปุกกุสะ แล้วตรัสถามด้วยคำถามเดียวกัน
อาจารย์ปุกกุสะก็รีบกราบทูลอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ฝูงชนใช้หนังแพะเป็นเครื่องลาดหลังม้า แล้วพากันควบขี่ไปอย่างสบาย ไม่มีใครใช้หนังสุนัขปูลาดหลังม้าเลย ครั้งนี้มิตรภาพระหว่างแพะกับสุนัขจึงได้มีต่อกัน”
อาจารย์กามินทะก็ได้กราบทูลตามที่เรียนมาเช่นกันว่า “แท้จริงแพะมีเขาโค้งงอบิดเป็นเกลียว แต่สุนัขไม่มีเขาเลยทีเดียว แพะกินหญ้า แต่สุนัขกินเนื้อ ช่างเหลือเชื่อ มิตรภาพอันดีระหว่างแพะกับสุนัขก็มีต่อกันได้”
ท้าวเธอได้สดับดังนั้น ก็ทรงเข้าพระทัยอีกว่า แม้อาจารย์กามินทะก็รู้คำตอบเช่นกัน จึงทรงผินพระพักตร์ไปทางอาจารย์เทวินทะบ้าง ก็ทรงได้รับคำตอบในทันทีว่า “แพะชอบใจหญ้าและใบไม้ ส่วนสุนัขชอบไล่จับกระต่ายและแมวกิน น่าประหลาดแท้ แม้แพะกับสุนัข ก็ยังมาเป็นเพื่อนกันได้”
พระเจ้าวิเทหราชทรงโสมนัสยิ่งนักที่อาจารย์ทั้ง ๔ ล้วนแล้วแต่สามารถตอบข้อปริศนาของพระองค์ได้ทั้งสิ้น ในที่สุดจึงผินพระพักตร์มาถามมโหสถเป็นคนสุดท้ายว่า “พ่อบัณฑิต เธอล่ะ รู้ปัญหานี้ไหมเล่า”
มโหสถทูลรับสนองว่า “ขอเดชะ เว้นข้าพระองค์แล้ว คนอื่นใครเลยจักทราบคำตอบที่ลึกซึ้งของปริศนานี้”“ดีล่ะ พ่อบัณฑิต ถ้าเช่นนั้น เธอก็จงว่าไป”
แล้วมโหสถก็กราบทูลว่า “ธรรมดาแพะมี ๔ ขา สุนัขก็มี ๔ ขา สัตว์จตุบาททั้งสอง แม้นจะกินอาหารต่างกัน คือแพะกินหญ้า สุนัขกินปลาและเนื้อ แต่มาวันหนึ่ง แพะกลับคาบชิ้นเนื้อมาจากห้องเครื่อง ส่วนสุนัขก็คาบฟ่อนหญ้ามาจากโรงช้าง สัตว์ทั้งสองนำอาหารมาฝากกันและกัน ฉะนั้นมิตรธรรมจึงบังเกิดแก่สัตว์ทั้งสอง พระราชาประทับอยู่บนปราสาท ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นมิตรธรรมนั้นด้วยพระองค์เอง”
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำตอบของมโหสถ ก็ยิ่งทรงทราบชัดถึงความเป็นไประหว่างแพะกับสุนัขที่ได้ทอดพระเนตรเห็นผ่านทางช่องพระแกล จึงทรงเข้าพระทัยว่า ราชบัณฑิตทั้ง ๕ ล้วนแทงตลอดในปัญหาด้วยปัญญาของตนทั้งสิ้น
ท้าวเธอจึงทรงโปรดปรานยิ่งนัก ถึงกับทรงเปล่งพระอุทานวาจาด้วยความปลาบปลื้มยินดีว่า “ช่างเป็นบุญลาภของเราโดยแท้ ที่มีราชบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสำนัก แม้นปริศนานั้นจะลึกซึ้งอย่างไร ก็ยังสามารถแทงตลอดเนื้อความแห่งปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์”
ครั้นแล้วท้าวเธอจึงได้พระราชทานรางวัลให้แก่ราชบัณฑิตเหล่านั้นโดยเท่าเทียมกันทุกคน คือทรงโปรดพระราชทานรถเทียมม้าอัสดรให้คนละคัน พร้อมด้วยบ้านส่วยอีกคนละหมู่บ้าน
การช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้นเป็นความงดงามของโลกและจักรวาล เช่น น้ำตกและลำธารให้น้ำแก่แม่น้ำ แม่น้ำให้น้ำแก่มหาสมุทร มหาสมุทรให้น้ำแก่ท้องฟ้า ท้องฟ้าทำสายฝนให้ตกลง ให้น้ำแก่โลกหล้า สรรพชีวิตจึงดำเนินไปได้
ถ้าหากขาดการให้แก่กันและกันแล้ว โลกของเราก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ดำเนินไปไม่ได้ ดังนั้น เราจึงควรฝึกการให้จนติดเป็นนิสัย บางคนมีทรัพย์มากก็ให้ทรัพย์ บางคนมีความรู้มากก็ให้ความรู้ บางท่านมีธรรมะมากก็ให้ธรรมะ เพราะผู้ที่ฝึกให้จนเป็นอุปนิสัยแล้ว ย่อมจะได้สัมผัสความสุขที่เกิดจากการให้อย่างแท้จริง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ท่านเสนกะและสหายทั้ง ๓ ได้รอดพ้นจากการถูกขับไล่ ก็ด้วยอาศัยความกรุณาของมโหสถบัณฑิตที่เป็นผู้ไม่มีความตระหนี่ในธรรม ได้แบ่งปันความรู้ให้ จึงทำให้อาจารย์ทั้ง ๔ ได้ที่พึ่งพาอาศัย ส่วนในครั้งหน้า เป็นการโต้ปัญหาระหว่างมโหสถกับอาจารย์ทั้ง ๔ ในหัวข้อที่ว่า คนที่มีปัญญากับคนพาลแต่มียศยิ่งใหญ่ ใครจะประเสริฐกว่ากัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/8tzZm