จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตสดับปัญหาข้อที่สองจบ ก็เห็นที่มาของปัญหานั้นชัดเจน จึงได้ทูลแก้ว่า “บุคคลในปัญหานั้น คือมารดากับบุตร ในกาลบางคราว มารดาใช้บุตรน้อยให้ไปไร่ไปนา แต่หนูน้อยกลับเกี่ยงงอน ว่าต้องให้ขนมกินก่อนถึงจะไป
ครั้นได้ขนมกินตามที่ขอแล้ว ก็บ่ายเบี่ยงว่า จะให้หนูไปตากแดด ร้อนจะตาย หนูไม่ไปหรอก แล้วก็ทำปากแบะแสยะยิ้มล้อเลียนมารดา มารดาเห็นบุตรทำท่าหลอกอย่างนั้นก็โกรธ ด่าทอ แช่งชักหักกระดูก แต่ถึงจะสาปแช่งอย่างไร ใจจริงมิได้ปรารถนาจะให้เป็นไปตามนั้นเลย”
หลังจากที่มโหสถบัณฑิตได้พยากรณ์ปัญหานั้นจบ อารักขเทวดาก็มาปรากฏกายให้สาธุการ แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชามโหสถบัณฑิตด้วยพวงบุปผชาติ แล้วก็ตรัสถามต่อไปว่า “บุคคลผู้กล่าวตู่กันด้วยคำไม่จริง แต่กลับเป็นที่รักของกันและกัน บุคคลที่ว่านั้นคือใคร”
มโหสถบัณฑิตก็ทูลแก้ปัญหานั้นว่า “บุคคลที่ว่านั้น คือชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากัน ขณะที่อยู่ด้วยกัน ต่างก็จะพากันหยอกเย้า กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่จริง ผู้เป็นสามีก็สัพยอกภรรยาว่า “เธอคงไม่รักฉันแล้ว อยู่ด้วยกันไม่นานความรักที่เธอเคยมอบให้ฉันก็พลันจืดจาง เธอช่างไม่นึกถึงความหลังครั้งก่อน เมื่อตอนที่พบกันใหม่ๆ เธอเคยบอกว่ารักฉัน เคยให้สัญญาว่า จะรักฉันคนเดียวตลอดไป แต่ยังไม่ทันไรเธอก็มาเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปเสียแล้ว” แม้ทั้งคู่จะกล่าวตู่ ให้ร้ายกันและกันเพียงไร ในใจกลับบังเกิดความรักต่อกันมากยิ่งขึ้น”
มโหสถบัณฑิตทูลเล่าเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ ท้าวเธอก็ทรงแย้มพระสรวลด้วยความพอพระทัย เพราะตัวอย่างที่มโหสถยกมากล่าวนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ใครๆ ก็สามารถตรองตามได้ไม่ยากนักครั้นแล้วมโหสถบัณฑิตจึงทูลต่อไปว่า “ฝ่ายหญิงผู้เป็นภรรยาก็โต้ตอบสามีว่า “พี่น่ะ ช่างใส่ความฉันเหลือเกิน คงเป็นพี่ละกระมังที่ปันใจให้หญิงอื่น เมื่อครั้งได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันใหม่ๆ พี่เฝ้าพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจฉันทุกอย่าง สัญญาว่าจะรักฉันตราบชั่วชีวา
ก็แล้วเดี๋ยวนี้พี่มาทำเป็นหมางเมิน ยังไม่ทันไร ความรักของพี่ก็ดูลดน้อยลงไปทุกวัน พี่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนฝืนๆ ปานว่าจะกล้ำกลืน มิได้ใส่ใจสักนิดว่าฉันจะคิดเช่นไร
ใช่ซี เดี๋ยวนี้ฉันเป็นคนเก่าไปเสียแล้วนี่ พี่คงเบื่อฉันแล้ว จึงคิดหาคนใหม่ คงจะไปมีคนใหม่ซุกซ่อนไว้ในที่อื่นอีกเป็นแน่ มิน่าเล่าพี่ถึงได้พยายามตีห่างจากฉันไป นี่ขนาดตัวยังไม่ทันตาย แต่หัวใจพี่เหมือนได้ตายจากฉันไปแล้ว”
เมื่อทั้งคู่โต้ตอบกันไปมาในทำนองนี้ เพลิงตัณหาที่ยังคุกรุ่นภายใน ก็ยิ่งลามเลียเผาไหม้จิตใจ แล้วต่างฝ่ายต่างก็แสดงความรักใคร่สิเน่หากันอย่างดูดดื่มตามประสาคนรัก ครั้นยิ่งทักท้วงและตู่กันหนักเข้า ก็ยิ่งเป็นที่รักของกันและกันมากขึ้นเพียงนั้น
ข้าแต่มหาราชเจ้า เพราะเหตุนี้แล เทวดาองค์นั้นจึงกล่าวว่า ผู้ที่กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่จริง แต่ชื่อว่าเป็นที่รักของกันและกัน พระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นมโหสถบัณฑิตพยากรณ์เทวปัญหาข้อที่สามจบลง พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงแทงตลอดในปริศนานั้น ท้าวเธอทรงโสมนัสยินดียิ่ง ได้บูชามโหสถบัณฑิตเหมือนครั้งก่อน พร้อมกันนั้นเทวดาซึ่งรอฟังอยู่ ก็ได้เผยกำพูฉัตรออกมา ซ้องสาธุการอีกวาระหนึ่งแล้วก็พลันอันตรธานหายวับไป
พระเจ้าวิเทหราชก็มิได้ทรงรอช้า รีบตรัสถามเทวปัญหาข้อสุดท้ายในทันทีว่า “บุคคลใดนำทรัพย์คือข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนของผู้อื่นไป มีแต่จะขนไปฝ่ายเดียว แต่กลับเป็นที่รักของเจ้าทรัพย์ ท่านมีความเห็นว่า บุคคลที่ว่านั้นคือใคร”
ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงได้ทูลแก้เนื้อความแห่งปัญหาในข้อสุดท้ายถวายแด่พระราชาว่า “ขอเดชะ บุคคลผู้เป็นที่รักแห่งเจ้าของทรัพย์นั้น จะเป็นใครอื่นมิได้เลย นอกเสียจากสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล ปัญหาที่เทวดาถามนั้น ก็หมายเอาเหล่าสมณพราหมณ์อย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า”
“ที่ว่าหมายเอาสมณพราหมณ์นั้นเป็นอย่างไร เธอช่วยขยายความให้กระจ่างสักหน่อยเถอะ” ท้าวเธอตรัสซัก
มโหสถบัณฑิตก็กราบทูลสนองทันทีว่า “ขอเดชะ ธรรมดาสมณพราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้ทรงศีลและประพฤติธรรม ท่านวางศาสตราอาวุธ งดเว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น มีกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมสะอาดบริสุทธิ์ ดำเนินตามมรรคาแห่งพระอริยเจ้า โดยมุ่งหวังอริยภูมิเป็นเป้าหมายสูงสุด
ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธา เชื่อในโลกนี้และโลกหน้า มีจิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น จึงได้พากันมาอุปัฏฐากบำรุงด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่เหมาะสม โดยมิได้นึกรังเกียจหรือเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
ยิ่งให้กลับยิ่งปลื้ม ยิ่งเคารพรักและเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น ด้วยระลึกถึงท่านว่า “ท่านเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ข้าวและน้ำของเราที่ท่านนำไป เป็นการนำไปดีแล้ว ท่านเป็นผู้อนุเคราะห์เราทั้งหลายให้ได้ประสบบุญเป็นอันมาก” คิดดังนี้แล้วก็ยิ่งรักใคร่ในสมณพราหมณ์เหล่านั้น
นี่แหละพระพุทธเจ้าข้า เทวดาองค์นั้นจึงกล่าวว่า ผู้นำข้าวและน้ำเป็นต้นไป แต่กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าข้า”
ในที่สุด การพยากรณ์เทวปัญหาทั้งสี่ข้อก็พลันยุติลง ทันใดนั้นเสียงทิพย์ของเทวดาผู้เป็นผู้ตั้งปัญหา ก็ดังก้องกังวานเป็นคำรบสี่ สนั่นไหวไปทั่วท้องพระโรง
จากนั้นเทวดาก็ได้โปรยรัตนะ ๗ ประการออกจากผอบ ให้มาตกลงแทบเท้าของมโหสถบัณฑิตเพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชา
ดูเหมือนว่าผู้ที่มีความปีติยินดีเป็นที่สุด เห็นจะไม่พ้นพระเจ้าวิเทหราช เพราะเหตุที่พระองค์ทรงขบคิดปริศนานี้มานานหลายเพลาแล้ว ครั้นได้สดับคำเฉลยของมโหสถบัณฑิต ก็พลันกระจ่างแจ้ง เสมือนเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในที่มืด
ท้าวเธอจึงทรงปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น ทรงประทานสาธุการให้มโหสถบัณฑิตด้วยความเลื่อมใส พร้อมกันนั้นยังได้พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีให้แก่มโหสถบัณฑิต เพื่อบูชาในในปัญญานุภาพอันยอดยิ่งของพระบรมโพธิสัตว์
จำเดิมแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตก็ปรากฏเกียรติยศยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองด้วยทรัพย์และบริวารยิ่งขึ้นไปอีก
การที่มโหสถบัณฑิตผ่านวิกฤตแห่งชีวิตในครั้งนั้นมาได้ ก็เพราะค่าที่ได้ดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมเมื่อประสบปัญหาก็ค่อยๆใช้ปัญญาแก้ไขปัญหานั้นให้ผ่านพ้นไป มิได้ตีโพยตีพายโทษว่าทำไมบุญจึงไม่ช่วย
ดังนั้น เมื่อเราประสบปัญหาของชีวิต ก็ควรอยู่ในศีลในธรรม แล้วค่อยๆ แก้ไขปัญหานั้นเป็นเรื่องๆ ไป ด้วยปัญญาอันชาญฉลาด ทำได้อย่างนี้ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ส่วนมโหสถบัณฑิตเมื่อได้ยศศักดิ์ยิ่งใหญ่แล้ว จะใช้ยศศักดิ์นั้นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-3421.png)
http://goo.gl/i4EUq