จากตอนที่แล้ว หลังจากที่อาจารย์เสนกะเปิดเผยความลับของตนแล้ว ต่อมาอาจารย์ปุกกุสะก็เล่าบ้างว่า “เมื่อครั้งที่พระราชายังทรงพระเยาว์พระองค์ทรงโปรดปรานกระผมมาก โดยพระองค์จะบรรทมหนุนขาของกระผมอยู่บ่อยๆ ด้วยรับสั่งแทบทุกครั้งว่า ขาของกระผมนุ่มดี แต่เหตุที่ขาของกระผมอ่อนนุ่ม ก็เพราะกระผมเป็นโรคเรื้อนที่ขา จึงใช้ผ้าหนาๆ พันปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ ความลับนี้กระผมบอกแก่น้องชายคนเดียวเท่านั้น”
แล้วต่อมาก็ถึงวาระของอาจารย์กามินทะบ้าง “ถ้าพวกท่านไปที่บ้านของกระผมในคืนข้างแรม ๑๕ ค่ำ ก็จะได้ยินเสียงประโคมดนตรีคล้ายกับมีงานมหรสพ ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า พอถึงวันสิ้นกาฬปักษ์ทีไร ยักษ์ชื่อว่านรเทพก็จะเข้าสิงในร่างของกระผมทุกครั้ง ถึงตอนนั้นกระผมก็จะเสียสติ ส่งเสียงร้องครวญคราง เห่าหอนเหมือนสุนัขบ้า
“เอาล่ะ อาจารย์เทวินทะ ถึงทีของท่านบ้าง” อาจารย์เสนกะเตือน
“ถึงท่านอาจารย์ไม่เตือน กระผมก็ต้องเล่าอยู่แล้วล่ะ” อาจารย์เทวินทะเสียงอ่อน ครั้นแล้วจึงเริ่มเปิดเผยความลับของตนเป็นลำดับสุดท้ายว่า “ท่านทั้งหลายสังเกตหรือไม่ว่า ในเวลาที่ไปเข้าเฝ้าพระราชาพร้อมกัน ท้าวเธอเป็นต้องทรงทักทายปราศรัยกับกระผมก่อนใครๆทั้งหมดทีเดียวไม่ใช่เพียงนั้น ท้าวเธอยังทรงโปรดปรานกระผมมากเป็นพิเศษ และมักจะพระราชทานรางวัลให้กระผมทุกๆวัน วันละ ๘ กหาปณะบ้าง ๑๖ กหาปณะบ้าง บางครั้งก็มากถึง ๒๖ กหาปณะ”
“มัวแต่อารัมภบทอยู่นั่นหละ เลยไม่รู้ซะทีว่าความลับของท่านคืออะไร” อาจารย์ปุกกุสะใจร้อน พาลต่อว่าต่อขานอาจารย์เทวินทะยกใหญ่
“อา....นี่ล่ะ ความลับของกระผมล่ะ ถ้าหากไม่คิดว่า กระผมกับท่านทั้งหลายได้ร่วมหัวจมท้าย ร่วมเป็นร่วมตายกันมา กระผมจะไม่เผยเคล็ดลับนี้เป็นอันขาด”
“เคล็ดลับอะไรเล่า ท่านเทวินทะ ก็รีบบอกมาซะทีซิ” อาจารย์กามินทะถามด้วยอาการชักหงุดหงิด
“ก็ใจเย็นๆ หน่อยซิ เหตุที่พระราชาทรงเห็นความสำคัญของกระผมก่อนใคร ก็เพราะอานุภาพของดวงแก้วมณีซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากพระเจ้าปู่กุสราช ท่านทั้งหลายก็รู้นี่ว่า แก้วมณีดวงนี้แต่เดิมเป็นของท้าวสักกเทวาธิราชจอมเทพแห่งดาวดึงส์พิภพ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า อานุภาพแห่งแก้วมณีนี้จะอำนวยสวัสดิมงคลแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของครอบครองอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว”
“เอ...แล้วท่านไปได้ดวงแก้วมณีนี้มาได้อย่างไร พระราชาทรงโปรดพระราชทานให้เฉพาะท่านผู้เดียวอย่างนั้นหรือ” อาจารย์กามินทะชักสงสัย
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ของมงคลอย่างนี้ ใครเขาจะมอบให้กันง่ายๆ ท่านอย่าด้นเดาไปเลย ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง”ว่าแล้วอาจารย์เทวินทะก็ย้อนอดีตของตนให้ทุกคนฟังว่า “มีอยู่คราวหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงมอบหมายให้กระผมนำดวงแก้วมณีของพระองค์มาขัดให้สะอาด กระผมรู้ว่าแก้วมณีดวงนี้เป็นของมงคล จึงคิดอยากจะครอบครองไว้เสียเอง ในที่สุดจึงตัดสินใจขโมยดวงแก้วมณีนั้นมาด้วยอุบายที่มิให้พระองค์ทราบได้
ครั้นแล้วจึงนำไปมอบให้มารดาของกระผมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าเฝ้า มารดาก็จะนำดวงแก้วมณีนั้นมามอบให้ผมติดตัวไว้แทบทุกครั้ง
ท่านเอย ไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเวลาที่กระผมเข้าเฝ้า แก้วมณีดวงนี้จะสามารถบันดาลอานุภาพดึงดูดทรัพย์สมบัติให้กระผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าจะว่าไปแล้วเรื่องอานุภาพของแก้วมณีนี้ ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย แม้แต่พระราชาเองก็ไม่ทรงทราบ
เห็นจะมีแต่มารดาของกระผมเท่านั้นที่รู้ แต่ถึงอย่างไรผมก็มั่นใจว่ามารดาย่อมไม่คิดทำลายลูก มีแต่จะสนับสนุนส่งเสริมลูกให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป ดังนั้น ผมจึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่มารดาเท่านั้น”
ช่างน่าสงสารอาจารย์เหล่านั้น ที่หารู้ไม่ว่ามโหสถกำลังแอบฟังความลับทั้งหมดของพวกตนอยู่ในถังข้าวใบนั้นเอง ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเงี่ยหูฟังความลับของอาจารย์เหล่านั้นแล้ว ก็กำหนดจดจำไว้โดยละเอียด
เมื่อต่างคนต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนหมดเปลือกแล้ว จึงต่างกำชับกันว่า อย่าได้นำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด
จากนั้นอาจารย์เสนกะก็กล่าวปิดท้ายว่า “นี่ก็เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้วที่พวกเราคิดจะกำจัดมโหสถ ที่เป็นเหมือนก้างขวางคอของพวกเราตลอดมา แต่นี้ไปพวกเราจะไม่ต้องอยู่ในมิถิลานครอย่างอัปยศอดสูอีกต่อไป
ทั้งหมดรับคำของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็พากันลุกขึ้นแยกย้ายกลับสู่เรือนของตน
บริวารของมโหสถเห็นอาจารย์ทั้ง ๔ กลับไปแล้ว ก็พากันมายกถังข้าวขึ้น มโหสถออกจากถังข้าวสารแล้ว ก็รีบกลับไปสู่เรือนของตนเช่นกัน บัดนี้ความลับอันเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายของอาจารย์ทั้ง ๔ มโหสถก็ได้ทราบจนสิ้นแล้ว เท่ากับว่า มโหสถได้กุมชะตาชีวิตของพวกเขาไว้จนสิ้น เหลืออยู่แต่ว่า มโหสถจะทำอย่างไรเท่านั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-3684.png)
http://goo.gl/AM4GI