จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตกราบทูลเปิดเผยความลับของอาจารย์เสนกะเป็นอันดับแรกว่า “อาจารย์เสนกะเป็นคนโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ เขาได้ฆ่าหญิงงามเมืองนางหนึ่ง แล้วหมกร่างของนางไว้ในสวนไม้รังด้วยความโลภในเครื่องประดับของนาง”
ครั้นแล้วมโหสถก็ได้กราบทูลเล่าความลับของอาจารย์ปุกกุสะต่อไปว่า “ปุกกุสะก็เป็นบุคคลที่ไม่น่าเข้าใกล้เลย เพราะเขาเป็นโรคเรื้อนที่ขา เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงสำคัญผิดไปว่า ท่อนขาของปุกกุสะมีสัมผัสอ่อนนุ่ม แท้ที่จริงเป็นเพราะเขาเอาผ้าพันแผลที่ขาไว้
ส่วนกามินทะนั้นเล่า เขามีความลับอันน่าสะพรึงกลัว ทุกวันอุโบสถข้างแรม ยักษ์ชื่อนรเทพจะเข้าสิงกามินทะ ทำให้กามินทะต้องเห่าหอนเหมือนสุนัขบ้า ลูกชายต้องขังเขาไว้ในห้อง แล้วจัดให้มีมหรสพที่ประตูบ้านเพื่อกลบเสียงเห่าหอนของบิดา”
พระเจ้าวิเทหราชครั้นได้สดับความลับของอาจารย์เหล่านั้นแล้ว ก็ได้ตรัสถามอาจารย์เหล่านั้นว่า เป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่
มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ แก้วมณีอันเป็นมงคล มี ๘ เกลียว ซึ่งท้าวสักกเทวราชประทานแด่พระเจ้ากุสราชพระอัยกาของพระองค์ บัดนี้แก้วมณีดวงนั้นได้ตกไปอยู่ในครอบครองของอาจารย์เทวินทะเสียแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ความลับนี้เทวินทะได้ปกปิดไว้ตลอดมา จะมีก็มารดาของเขาเท่านั้นที่รู้
ข้าแต่สมมุติเทพ ก็คนที่มือไวใจเร็ว มีความประพฤติเยี่ยงโจรอย่างอาจารย์เทวินทะ ควรแล้วหรือที่พระองค์จะทรงพระกรุณายกย่องให้เป็นราชบัณฑิตต่อไป”
อาจารย์เทวินทะก็กราบทูลตามตรงว่า “จริง พระพุทธเจ้าข้า”
ท้าวเธอได้สดับดังนั้น ก็ถึงกับทรงรำพึงออกมาว่า “ฮึม...ช่างงามหน้าเสียจริง คนหนึ่งเป็นราชบัณฑิตมหาโจร คนหนึ่งก็ราชบัณฑิตขี้เรื้อน อีกคนก็ราชบัณฑิตผีสิง และอีกคนหนึ่งก็ราชบัณฑิตหัวขโมย”
“เฮ้ย...ราชบุรุษ จงนำตัวเทวินทะไปขังเดี๋ยวนี้” ท้าวเธอรับสั่งด้วยพระสุรเสียงกึกก้องน่าเกรงขาม
ครั้นแล้วเหล่าราชบุรุษก็ตรงรี่เข้ากุมตัวอาจารย์เทวินทะ จับมัดมือไพล่หลัง แล้วนำไปขังไว้ในเรือนจำทำนองเดียวกับอาจารย์เสนกะ อาจารย์ปุกกุสะและอาจารย์กามินทะ จึงเป็นอันว่า อาจารย์ทั้ง ๔ คน ซึ่งรวมหัวสมคบคิดฆ่ามโหสถบัณฑิต แต่สุดท้าย ผลของกรรมนั้นได้ย้อนกลับมาสนองพวกตนเสียเอง
อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อต่างก็ต้องมาตกอยู่ในภาวะคับขัน ที่เหลียวมองไปทางใดก็ยังไม่เห็นว่าจะมีทางรอดพ้นไปได้ ความเหิมเกริมคิดจะชิงดีชิงเด่นกับมโหสถบัณฑิตจึงหมดสิ้นไปจากใจ เปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัวต่อเงื้อมมือแห่งมฤตยู ที่กำลังมายื่นรอปลิดชีวิตของพวกตนอยู่ต่อหน้า
ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสกับมโหสถด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า “เธอปรารถนาจะกล่าวสิ่งใดอีก ก็เชิญกล่าวมาเถิด”มโหสถจึงทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ขอโอกาสกราบทูลยืนยันในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้กราบทูลพระองค์ไปแล้วเมื่อครั้งก่อนว่า
การปกปิดความลับไว้นั่นแหละเป็นการดี การเปิดเผยความลับแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะแก่สตรีทั้งหลาย และกับบุคคลผู้ที่มิใช่มิตรนั้น บัณฑิตไม่สรรเสริญเลย
บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายยังไม่สำเร็จตามที่ตนปรารถนา ก็พึงอดกลั้นไว้ไม่พึงเปิดเผยความลับนั้นเป็นอันขาด ต่อเมื่อประโยชน์ที่ตนมุ่งหมายสำเร็จแล้วนั่นแหละ ภายหลังจึงค่อยบอกแก่คนทั้งปวงได้ตามสบาย”
แล้วมโหสถบัณฑิตก็ยกอุทาหรณ์มากล่าวต่อไปอีกว่า “ขอเดชะ เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสักครู่ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของข้าพระองค์ได้เป็นอย่างดี มิใช่เพราะเหตุที่อาจารย์ทั้ง ๔ ต่างไว้ใจกันหรอกหรือ พวกเขาจึงยอมเปิดเผยความลับของกันและกัน ถึงต้องมาได้รับความทุกข์ยากลำบากในบัดนี้ นี่หากว่าต่างคนต่างเก็บความลับของตนไว้ ไม่ยอมเปิดเผยแก่ใครๆ ใครที่ไหนจะไปทราบได้
แม้ว่าความลับนั้นจะเป็นเรื่องร้ายแรงสักเพียงใด ถึงขนาดคอขาดบาดตายก็ตามที หากเราไม่เปิดเผย ความลับนั้นก็ยังคงเป็นความลับอยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าข้า”
ในสมรภูมิรบ การลงมือโจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะโดยเร็วนั้น จะต้องชิงลงมือโดยที่ไม่ให้ข้าศึกทันรู้ตัวเสียก่อน ดังนั้น ความลับจึงถือเป็นสิ่งสำคัญสุดยอด จะยอมให้แพร่งพรายไม่ได้เป็นอันขาด แต่สำหรับมโหสถบัณฑิตนั้น ท่านเป็นผู้มีปัญญามาก และเป็นที่รักนับถือของบุคคลทั้งหลาย ท่านย่อมมีความรอบคอบรัดกุม ระแวงภัยที่ควรระแวง สามารถรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของอาจารย์ทั้งสี่ และป้องกันภัยนั้นก่อนที่มันจะมาถึง
แม้หากว่า ท่านพลาดไม่ทราบข่าวร้าย และความลับจากอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ยังมีพระนางอุทุมพรเทวีอีกพระองค์หนึ่งที่มีความรักและหวังดีคอยส่งข่าวให้ ดังนั้น บัณฑิตพึงเป็นผู้ทันข่าวทันเหตุการณ์ และพึงทำตนให้เป็นที่รักของคนทั้งหลาย เพราะในยามคับขัน บุคคลผู้เป็นที่รักนั้น ย่อมเป็นประดุจเกราะคุ้มกันภัยให้แก่เราเป็นอย่างดี
ส่วนอาจารย์ทั้ง ๔ คน ขณะนี้เป็นแต่เพียงถูกสั่งจำขังไว้เท่านั้น เมื่อถูกพระราชาสั่งลงอาญา โทษจะเป็นสถานใด โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/ygAox