จากตอนที่แล้ว กองทัพอันมหึมาของพระเจ้าจุลนี ได้บ่ายหน้าเข้าสู่วิเทหรัฐเพื่อล้อมมิถิลานคร สหายของมโหสถผู้สืบราชการลับประจำเมืองต่างๆ ก็ได้เดินทางมากับกองทัพนี้ด้วย จึงได้ส่งข่าวให้มโหสถบัณฑิตทราบเป็นระยะๆ
มโหสถบัณฑิตทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพพระเจ้าจุลนีทุกๆระยะ ก็มิได้ประมาท เร่งวางแผนเตรียมกำลังรับมืออย่างเต็มที่ จากนั้นเพียงไม่กี่วัน มโหสถบัณฑิตก็ได้รับรับแจ้งข่าวว่า “ในวันนี้ พระเจ้าจุลนี จักยกทัพมาถึงมิถิลานคร”
ในเวลาพลบค่ำ กองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าจุลนีได้เข้าประชิดกำแพงเมืองมิถิลาเป็นที่เรียบร้อย พระเจ้าจุลนีทรงมีพระราชโองการดำรัสสั่งให้แม่ทัพทั้งหลายล้อมมิถิลานครทุกด้านโดยทันที เสียงช้างก็ดี เสียงม้าก็ดี เสียงรถก็ดี เสียงพลทหารปรบมือผิวปากและโห่ร้องก้องคำรนอยู่ก็ดี ดังสนั่นหวั่นไหวอึกทึกกึกก้องไปทั้งเมืองประหนึ่งว่าปฐพีจะถล่มทลาย
พระเจ้าวิเทหราช พร้อมกับอาจารย์ทั้ง ๔ ได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องโกหาหล ทั้งยังเห็นปราการกองทัพมหึมาห้อมล้อมกำแพงมิถิลานครเป็นชั้นๆ ท้าวเธอก็ทรงทราบทันทีว่า บัดนี้กองทัพของพระเจ้าจุลนีได้กรีธาทัพมาถึงมิถิลานครแล้วจริงๆ ทรงตกพระทัยกลัวต่อมรณภัยเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงประทับยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่ในที่นั้นเอง
ส่วนท่านอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างหน้าซีดตัวสั่น กลัวตาย เพราะคิดไม่ถึงว่ามิถิลานครจะถูกกองทัพมหึมาห้อมล้อมอย่างหนาแน่นถึงเพียงนี้ ท่านอาจารย์เสนกะกลับได้สติขึ้นมาหน่อยจึงกราบทูลว่า “แม้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอตายตามเสด็จ มิขออยู่เป็นทาสรับใช้ของพระเจ้าจุลนีอย่างเด็ดขาด”ส่วนท่านอาจารย์ทั้งสาม ก็กราบทูลโดยทำนองเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าการตายจะมีเพื่อนตายด้วยก็ตาม แต่ก็มิได้ช่วยให้ความหวาดหวั่นต่อความตายหมดไปเลย จะเป็นได้บ้างก็เพียงแต่สนทนาปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน
ระหว่างที่พระเจ้าวิเทหราชทรงกำลังสนทนาปรับทุกข์กับอาจารย์ทั้ง ๔ อยู่นั้น มโหสถบัณฑิตจึงรีบเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ กราบบังคมทูลท้าวเธอ แล้วยืนอยู่ ณ ที่อันสมควร
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นหน้ามโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ทรงสบายพระทัยขึ้น ทรงดำริว่า “ภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ยากที่ใครจะสามารถปลดเปลื้องมิถิลานครให้พ้นจากความทุกข์ร้อนไปได้ ยกเว้นเสียแต่มโหสถบัณฑิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
ท้าวเธอจึงรับสั่งกับมโหสถว่า “พ่อมโหสถเอย เธอไม่เกรงกลัวภัยบ้างเลยหรือ ขณะนี้พระเจ้าจุลนีเสด็จยาตราทัพมาพร้อมด้วยพลเสนาแสนยากรมากมายจนสุดจะคณานับ ล้วนแต่เหี้ยมหาญชำนาญศึก น่าสะพรึงกลัวเป็นนักหนา ขณะนี้มิถิลานครก็ถูกล้อมกำแพงเมืองไว้แล้วถึง ๓ ชั้น ในภาวะคับขันเช่นนี้ เธอผู้มีปัญญามากจะสามารถนำพามิถิลานครให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้อย่างไร ขอเธอจงบอกเรามาเถิด”
ดังนั้นจึงได้ทูลปลอบท้าวเธอให้ทรงคลายความวิตกกังวลด้วยวาจาองอาจกล้าหาญว่า “ข้าพระองค์มิได้เกรงกลัวกองทัพของพระเจ้าจุลนีเลย พระพุทธเจ้าข้า และขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯก็อย่าได้ทรงหวาดกลัวต่อภยันตรายใดๆเลย ขอทรงประทับให้สุขสำราญภายในเขตพระราชฐานตามพระราชอัธยาศัย เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ส่วนการปกป้องมิถิลานครนั้น ขอพระองค์ได้โปรดวางพระราชหฤทัย เถอะพระเจ้าข้า การรักษาป้องกัน ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดการวางแผนรับมือไว้แล้วอย่างมั่นคง กองทัพมหึมาของพระเจ้าจุลนีนี้ จักมิอาจเลยพระพุทธเจ้าข้า ที่จะก่อให้เกิดความรำคาญเคืองใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แม้แต่ปลายเส้นพระโลมาก็จะมิได้รับความกระทบกระเทือนแม้เพียงเล็กน้อย
มโหสถบัณฑิตกราบทูลดังนี้แล้ว ก็รีบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า แล้วจึงเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้สำเร็จราชการอย่างสุดความสามารถ
ในการทำศึกสงครามนั้น มโหสถบัณฑิตตระหนักดีว่า สิ่งสำคัญในการสู้ศึก อยู่ที่ขวัญและกำลังใจ เพราะแม้นว่ากองทัพนั้นจะเป็นทัพใหญ่ที่มีกำลังพลมากกว่า แต่หากว่าลูกทัพปราศจากขวัญกำลังใจในการออกศึก กองทัพนั้นก็หมดท่าหมดสง่าราศี แทนที่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก็อาจปราชัยให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายๆ
ขณะนั้นบรรดาประชาชนชาวมิถิลานครต่างก็อกสั่นขวัญหายกลัวต่อความตายที่ถูกกองทัพของพระเจ้าจุลนีได้เข้าประชิดกำแพงเมือง ต่างก็พากันมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มๆ โจษจันกันเรื่องการสงคราม ทำให้เกิดความหวาดหวั่นพรั่นใจไปต่างๆ เป็นโกลาหล
มโหสถบัณฑิตจะมีวิธีการบำรุงขวัญ และกำลังใจของทหารหาญและชาวเมืองอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-3886.png)
http://goo.gl/cjr0i