จากตอนที่แล้ว ฝ่ายมโหสถเมื่อรู้ว่าพราหมณ์เกวัฏกำลังจะมาหาตน จึงได้คิดอุบายต่างๆ เพื่อเตรียมการต้อนรับแขกผู้มาเยือนให้เข็ดขยาดไปอีกนานแสนนาน พราหมณ์เกวัฏออกจากท้องพระโรงแล้ว ก็ตรงมายังเรือนของมโหสถเพียงลำพัง เมื่อมาถึงประตูชั้นแรก เกวัฏก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตู
ว่า “ท่านมโหสถอยู่หรือไม่ เราจะพบได้อย่างไรกัน”
![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_01.jpg)
ว่าแล้วก็รีบเดินตรงไป แต่กลับถูกยามเฝ้าประตูกั้นไว้ พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่อย่าส่งเสียงเอ็ดอึงไปสิ วันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง ฉะนั้นท่านจะพูดเสียงดังไม่ได้เป็นอันขาด”
กระทั่งถึงประตูชั้นที่สอง ก็ถูกคนเฝ้าประตูกั้นทางไว้อีก แล้วถูกเตือนในทำนองเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ผ่านประตูชั้นแรกเข้ามา เกวัฏถูกยามเฝ้าประตูแต่ละชั้นสั่งกำชับอย่างนี้จนถึงประตูชั้นที่เจ็ด ทำให้ชักจะเลือดขึ้นหน้า
เมื่อผ่านซุ้มประตูชั้นสุดท้ายมาแล้ว เกวัฏก็ตรงเข้าไปในห้องโถง เห็นมโหสถนุ่งผ้าแดงนอนอยู่ ก็พยายามเหลียวมองหาที่นั่งสำหรับตน แต่ก็ไม่เห็นแม้ตั่งสักตัวเดียว ครั้นแล้วจึงเดินเข้าไปหามโหสถใกล้ๆ ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ เหยียบมูลวัวสดๆอยู่ในที่นั้น มิหนำซ้ำยังถูกบริวารของมโหสถยักคิ้วหลิ่วตาให้ด้วยความหมั่นไส้ บ้างก็แสดงอาการดูหมิ่นอย่างรุนแรง
เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้น ไม่เป็นที่น่าไว้ใจ คิดว่า ถ้าขืนตน
ยืนอยู่ในที่นี้ต่อไป คงจะไม่ปลอดภัยแน่ จึงกล่าวกับมโหสถว่า “ท่านบัณฑิตข้าพเจ้าลาล่ะ”
![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_02.jpg)
เมื่อกล่าวจบ บริวารที่เฝ้ามโหสถตรงรี่เข้าไปหาเกวัฏ ตวาดเสียงกร้าว ว่าแล้วก็ช่วยกันจับคอเกวัฏไสไปข้างหน้า ตบหน้า-ทุบหลัง โทษฐานละเมิดคำสั่งที่บอกให้เงียบแล้วไม่เงียบ เกวัฏออกไปถึงประตูชั้นไหนก็ถูกผลักไสไล่ส่งไปอย่างนั้น จนพ้นออกจากประตูเรือน เกวัฏทั้งเจ็บทั้งอาย แต่ก็ไม่อาจตอบโต้อะไรได้ ครั้นรอดมาได้ เกวัฏก็ไม่รอช้า รีบเดินตรงแน่วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที
ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า “ป่านนี้มโหสถบุตรของเรากับอาจารย์เกวัฏ คงจะได้พูดคุยกันจนเป็นที่พอใจแล้ว เห็นทีทั้งคู่คงจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”
ขณะที่กำลังทรงดำริอยู่นั้น พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์เกวัฏกลับเข้ามายังท้องพระโรง แล้วถวายบังคมอยู่เฉพาะพระพักตร์
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์เกวัฏแล้ว ก็ทรงรับสั่งถามว่า
“เป็นอย่างไรท่านเกวัฏ ท่านได้พบมโหสถแล้วหรือ มโหสถพูดอะไรกับท่านบ้างล่ะ นี่ก็คงอโหสิให้กันและกันแล้วกระมัง อืม...มโหสถได้ฟังข่าวมงคลแล้ว มีความชื่นชมยินดีหรือไม่ล่ะ”
![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_03.jpg)
เกวัฏขบฟันแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ไม่เบิกบานแช่มชื่นเหมือนเมื่อครั้งก่อน
แล้วกราบทูลว่า “ขอเดชะ คนอย่างมโหสถไม่ควรนับว่าเป็นบัณฑิตเลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะมโหสถเป็นคนถ่อย หยาบกระด้าง ไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเลย ขนาดข้าพระองค์เป็นฝ่ายไปหามโหสถถึงเรือน แต่มโหสถไม่ยอมพูดจาเลย กลับทำเป็นใบ้หูหนวกไปเสียอย่างนั้น
อย่าว่าแต่จะออกมาต้อนรับเลย แม้แต่ที่นั่งหน่อยหนึ่งก็ไม่มีให้ จะทักทายปราศรัยสักคำก็ไม่มี คนอย่างนี้ไม่ควรอยู่ในราชสำนักของพระองค์เลย พระเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลของเกวัฏแล้ว ก็ทรงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เหตุการณ์มิได้ราบรื่นตามที่ทรงคาดคิดไว้
ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงเห็นคล้อยตามทูลของเกวัฏ แต่มิได้ทรงตรัสคัดค้านแต่อย่างใด เป็นแต่ทรงตรัส
ว่า “เชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนเถอะนะ”
![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_04.jpg)
แล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงาน จัดหาที่พักรับรองให้แก่เกวัฏและคณะ พร้อมพระราชทานทรัพย์ให้เป็นรางวัลตามสมควร
หลังจากที่เกวัฏกลับไปยังที่พักแล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็ประทับอยู่ในที่นั้นเพียงลำพังพระองค์เดียว ทรงใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อสักครู่
ครั้นแล้ว จึงทรงดำริขึ้นได้ว่า “ธรรมดามโหสถบุตรของเรา เป็นผู้เคารพในการปฏิสันถารยิ่งนัก แต่เมื่อสักครู่เกวัฏกลับฟ้องว่าไม่ได้รับการต้อนรับจากมโหสถเลย หากมโหสถไม่ยอมพูดคุยกับเกวัฏจริงๆ เชื่อแน่ว่าคงเป็นเพราะมโหสถมองเห็นการณ์ไกล
รู้ว่าการมาของเกวัฏในครั้งนี้ มิใช่มาด้วยประสงค์ดี แต่เป็นการอ้างเอาความสัมพันธ์ขึ้นบังหน้า หลอกให้เราเดินทางไปปัญจาลนคร แล้วจึงหาทางจับกุมตัวเราไว้เป็นแน่”
ทรงดำริดังนี้แล้ว ก็ยิ่งทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึงในพระหทัย ระแวงไปต่างๆนานา ประทับนั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังทรงตัดสินพระทัยอะไรสักอย่าง แต่ก็
ยังไม่อาจตัดสินพระทัยให้เด็ดขาดลงไปได้ ไม่นานนักอาจารย์ทั้งสี่ก็พากันมาเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ใคร่จะทราบความเห็นของอาจารย์เหล่านั้น
จึงรับสั่งถามอาจารย์เสนกะก่อนใครว่า “ท่านอาจารย์ ท่านได้ทราบข่าวที่พระเจ้าจุลนีทรงยกพระราชธิดาให้แก่เราแล้วหรือ”![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_05.jpg)
อาจารย์เสนะกราบทูลว่า “ทราบแล้ว พระเจ้าข้า”
“แล้วท่านเห็นว่าอย่างไร เราควรจะไปหรือไม่ล่ะ” ท้าวเธอทรงหารือ
อาจารย์เสนกะคิดว่า นานๆครั้งพระราชาจึงจะตรัสถามตนสักคราวหนึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ควรทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง คิดดังนี้แล้ว จึงกราบทูลคล้อยตามพระราชอัธยาศัยว่า “ควรอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า กษัตริย์อื่นใดในชมพูทวีปเว้นจากพระองค์แล้ว จะหาใครเสมอเหมือนพระเจ้าจุลนีนั้นไม่มีเลย...
ดังนั้น การที่พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานพระราชธิดาให้แก่พระองค์นั้น นับเป็นข่าวมงคลอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าข้า ก็ในเมื่อสิริมาถึงพระองค์แล้ว จะ
มัวทรงรอช้าอยู่ไย การปล่อยให้นารีรัตนะที่งามพร้อมเช่นนี้หลุดลอยไป หาควรไม่ พระพุทธเจ้าข้า”
![](https://images.dmc.tv/www/images/dhamma_for_people/mahosathapandita/149/mahosathapandita149_06.jpg)
แล้วอาจารย์เสนกะ ก็กราบทูลทิ้งท้ายเป็นทำนองเย้าเล่นว่า “หากพระองค์เสด็จไปปัญจาลนคร พวกข้าพระพุทธเจ้าก็จักขอตามเสด็จด้วย เมื่อนั้นก็จะพลอยได้รับบำเหน็จรางวัลเป็นผ้าผ่อนแพรพรรณและเครื่องประดับต่างๆ จากปัญจาลนครด้วย พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำตอบของอาจารย์เสนกะ ก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก ท้าวเธอจึงลองตรัสถามอาจารย์ที่เหลือตามลำดับ ครั้นแล้วก็ทรงได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดกราบทูลทัดทานเลย เมื่อเป็นดังนี้ ท้าวเธอก็ทรงคลายความระแวงพระทัย และทรงปักพระทัยมั่นที่จะเสด็จไปปัญจาลนครตามคำทูลเชิญของพระเจ้าจุลนี
จะเห็นได้ว่า การมีที่ปรึกษาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มุ่งเอาแต่ประจบประแจงเจ้านายเพื่อประโยชน์ส่วนตน จะเป็นเหตุนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในภายภาคหน้า ดั่งเช่นอาจารย์ทั้งสี่ ที่กำลังจะชักนำให้พระเจ้าวิเทหราชเดินทางไปสู่ความตาย
ส่วนว่าเมื่อมโหสถบัณฑิตได้ทราบว่า พระเจ้าวิเทหราชทรงปักพระทัยมั่นที่จะเสด็จไปปัญจาลนครนั้น จะสามารถห้ามมิให้พระองค์เสด็จไปได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)