จากตอนที่แล้ว เมื่อเกวัฏพราหมณ์กลับไปยังปัญจาลนครแล้ว มโหสถบัณฑิตก็รีบเข้าเฝ้าพระราชาทันที พระเจ้าวิเทหราชจึงรับสั่งถามว่า “พ่อบัณฑิต พวกเราต่างมีมติเป็นอันเดียวกันว่า ควรไปปัญจาลนครเพื่อรับเอาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาที่นี่ ส่วนเธอล่ะมีความเห็นอย่างไร”
มโหสถได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว จึงกราบทูลทักท้วงอย่างหนักแน่นว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงทราบดีมิใช่หรือว่า พระเจ้าจุลนีทรงมุ่งหมายที่จะปลงพระชนม์ชีพของฝ่าพระบาทให้จงได้ เมื่อเป็นดังนี้ ฝ่าพระบาทยังจะเสด็จไปอีกหรือ พระพุทธเจ้าข้า”
จึงแสดงอุปมาว่า “เรื่องเนื้อโง่ เมื่อได้ฟังเสียงของนางเนื้อต่อ ก็รี่เข้าหาด้วยอำนาจแห่งราคะ นายพรานครั้นได้ช่อง ก็ใช้หอกแทงเนื้อนั้นตายอย่างน่าอนาถ”
และได้ยกข้ออุปมาต่อไปอีกว่า “ปลากระหายเหยื่อ แม้จะอยู่ในน้ำลึกตั้งร้อยวา แต่ก็ยังขึ้นมาติดเบ็ดได้ มันอาศัยความอยากโดยแท้ ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ก็ฉันนั้น ทรงปรารถนาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี มิได้ทรงเฉลียวใจเลยว่า นั่นเป็นเพียงเหยื่อล่อที่ห่อเบ็ดไว้ ขอได้ทรงเลิกล้มความคิดนั้นเสียเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
คำกราบบังคมทูลของมโหสถบัณฑิต แม้นเกิดจากเจตนาดีที่หวังประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ในยามนี้กลับเป็นสิ่งที่ไร้ผล พระเจ้าวิเทหราชทรงยิ่งพิโรธมโหสถ ด้วยทรงดำริว่า “มโหสถช่างดูหมิ่นเราเหลือเกิน เปรียบเราเป็นเนื้อโง่บ้าง เป็นปลาติดเบ็ดบ้าง กล้าข่มขี่เราเหมือนข่มขู่ทาสในเรือนตน มิได้สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นพระราชาเสียเลย” พระองค์ทรงไล่มโหสถด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาดว่า “ราชบุรุษ...จงขับไล่มโหสถออกไปจากแคว้นของเราเดี๋ยวนี้”
มโหสถบัณฑิตเมื่อรู้ว่า พระราชาทรงกริ้วตน จึงถวายบังคมพระราชา ลุกจากที่นั่ง แล้วกลับไปสู่เรือนของตน
เมื่อกลับสู่เรือนแล้ว มโหสถรำพึงในใจด้วยความสลดหดหู่ใจว่า “พระราชาของเราทรงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ พระองค์มิได้ทรงตระหนักเลยหรือว่า สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดมิใช่ประโยชน์ต่อพระองค์