จากตอนที่แล้ว นางนกสาลิกาเพียงได้เห็นสุวโปดกครั้งแรกเท่านั้น จิตใจของนางก็พลันอ่อนระทวยเหมือนถูกไฟเผาลน นางรีบเชื้อเชิญให้สุวโปดกเข้ามาเกาะเคียงกันบนสุวรรณสีหบัญชรสุวโปดกไม่รอช้า รีบถลาเข้าไปแนบชิดนาง แล้วเอ่ยทักทายด้วยคำหวานว่า “สาลิกาจ๋า เรือนทองของเจ้างามเหลือเกิน ช่างงามสมกับเจ้าของเรือนผู้มีสีสวย มีเสียงไพเราะเช่นเธอ ที่นี่ช่างน่ารื่นรมย์ น่าอยู่จริงๆ นะจ๊ะ”
ฝ่ายนกสาลิกา จึงตอบรับอย่างสงวนท่าทีว่า “ท่านผู้มีสีดุจมรกตสดใส ข้าสุขสบายดีตามอัตภาพ ไม่ลำบากดอกจ้ะ ว่าแต่ท่านน่ะ ชื่ออะไร มาจากไหน เพราะก่อนนี้ข้าไม่เคยเห็นท่านเลย”ด้วยปฏิภาณอันว่องไวของสุวโปดก จึงตอบด้วยความสนิทสนมว่า “ฉันหรือจ๊ะ ฉันชื่อสุวโปดกมาจากแคว้นสีวี เมืองอริฏฐบุรีโน่นแน่ะ ฉันอยู่บนปราสาทของพระเจ้าสีวีราช เป็นข้าบ่าวเฝ้าห้องบรรทมของพระองค์จ๊ะ พระองค์ทรงเมตตาฉันเหลือเกิน โปรดให้ฉันไปไหนมาไหนได้ตามปรารถนา มิได้กักขังไว้ในเรือนทองตลอดเวลาอย่างเธอดอกจ้ะ”นางเป็นฝ่ายอวดบ้างว่า “เจ้าเหนือหัวของข้าก็เมตตาข้าเหมือนกัน ก็ท่านเห็นเรือนทองของข้าแล้วมิใช่หรือ นั่นไงเปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ข้าจะไม่ไปไหนนอกเสียจากบริเวณห้องบรรทม”สุวโปดกสงสัย จึงถามว่า “สาลิกาจ๋า เธอมีปีกนี่จ๊ะ ก็เธอบินไม่เป็น หรือพระราชาห้ามไว้ บอกได้ไหมจ๊ะ”“พระองค์ไม่เคยห้ามข้าหรอก และข้าก็บินได้เหมือนท่านนั่นแหละ แต่ที่ข้าไม่ไปก็เพราะสำนึกในความเป็นหญิงของตน จึงห้ามใจตนเองมิให้เที่ยวไปลำพัง เพราะโลกภายนอกอันตรายนัก ภัยของหญิงก็มีมากเหลือเกิน เกิดเป็นหญิงพึงรักนวลสงวนตัวไว้จึงจะงาม มิใช่หรือ” นางตอบอย่างไว้เชิง
“โอว...สาลิกาจ๋า เธอช่างดีเหลือเกิน ฉันได้คุยกับนางนกสาลิกามามากต่อมาก ยังไม่เคยเห็นใครที่ทั้งสวยและจิตใจงดงามอย่างเธอมาก่อน” คำป้อยอของสุวโปดก เห็นจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของนางสาลิกาอย่างมากนางจึงออกปากเชิญชวนสุวโปดกว่า “ขอเชิญท่านพักกินข้าวตอกกับน้ำผึ้งในกระเช้าทอง ให้อิ่มสบายก่อนเถิด”“ขอบใจมากจ๊ะในความเมตตาอารีของเธอ” สุวโปดกกล่าวด้วยความจริงใจ เพราะระหว่างทางที่บินมายังไม่ได้กินอาหารเลยขณะที่สุวโปดกกำลังจิกข้าวตอกและดื่มน้ำผึ้งอยู่นั้น นางนกสาลิกาก็แอบมองดูนกแขกเต้าผู้มาเยือนด้วยความชื่นชม แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่วางใจนัก จึงซักไซ้ไล่เลียงสุวโปดกต่อไปว่า “สหายที่รัก ท่านจากบ้านจากเมืองมาถึงนี่ เพราะมีธุระอะไรหรือ”
สุวโปดกเห็นว่าโอกาสมาถึงตนแล้ว จึงได้แสร้งตีหน้าเศร้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “สาลิกาจ๋า หากว่าเธออยากรู้จริงๆ ฉันก็จะเปิดเผยความในใจของฉันให้เธอฟัง”ว่าแล้ว สุวโปดกจึงกุเรื่องขึ้นมา เล่าให้นางฟังว่า “ฉันน่ะ เคยมีภรรยามาแล้วล่ะ นางเป็นนกสาลิกาที่น่ารักอย่างเธอนี่เเหละ แต่น่าอนาถใจจริง เหยี่ยวร้ายได้พรากชีวิตของนางไปต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันได้แต่มองดูภรรยาอยู่ในกรง แต่ก็หมดหนทางใดๆที่จะช่วยเหลือนางได้ ตอนนั้นหัวใจฉันแทบสลาย เพราะรักและสงสารนางเหลือเกิน” สุวโปดกแสร้งแสดงอารมณ์และน้ำเสียง ด้วยความโศกเศร้าอาลัยอย่างลึกซึ้ง“ทำไมเหยี่ยวถึงได้ฆ่าภรรยาของท่านเสียเล่า” นางสาลิกาถามด้วยรู้สึกสมเพชเวทนายิ่งนักสุวโปดกทำแววตาละห้อยเหมือนอาลัยอย่างสุดซึ้ง ก่อนที่จะเล่าเรื่องของตนต่อไปว่า “วันหนึ่ง ฉันและภรรยาตามเสด็จพระราชาไปสรงสนานที่แม่น้ำแห่งหนึ่งด้วยความสนุกสนาน พอกลับมาถึงตำหนัก ฉันก็พาภรรยาบินไปจับอยู่บนยอดตำหนักเพื่อผึ่งตัวให้แห้ง...
ขณะนั้นเอง มีเหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเราสองสามีภรรยาแต่ไกล จึงโผลงหวังจะมาโฉบฉันและภรรยา ฉันตกใจกลัวรีบบินหนีเข้ากรงทองทันที แต่สาลิกาภรรยาของฉันกำลังท้องแก่ บินหนีไม่ทัน เหยี่ยวนั้นจึงโฉบภรรยาของฉันไปต่อหน้าต่อตา คิดแล้วก็ยิ่งแค้นใจที่ฉันเป็นเพียงนกตัวน้อย ไม่สามารถจะช่วยป้องกันภัยให้แก่นางได้เลย ฉันเอาแต่ร้องไห้เสียใจเพราะอาลัยรักในภรรยา เสียจนไม่เป็นอันกินอันนอน”นางนกสาลิกาได้ฟังดังนั้น ก็นึกสงสารสุวโปดกอย่างมาก แต่ก็ฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่สุวโปดกไม่จบเพียงเท่านั้น ยังได้เล่าให้นางฟังต่อว่า “พระราชาทอดพระเนตรเห็นฉันร้องไห้ จึงตรัสถามว่า “เจ้าสุวโปดกเอ๋ย เจ้าน่ะเอาแต่ร้องไห้ทำไมกัน”ฉันกราบทูลเรื่องนั้นไปพลางร้องไห้ไปพลาง ท้าวเธอทรงสงสาร จึงทรงปลอบฉันว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย เจ้าจงไปหาคู่ใหม่ที่เหมาะสมแก่เจ้าเถิด”ฉันกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ในโลกนี้จะหาหญิงใดที่งามพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและกิริยามารยาท เหมือนนางสาลิกาแก้วภรรยาของข้าพระองค์ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ต้องการมีภรรยาใหม่ แต่จะขออยู่ตามลำพังผู้เดียวไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ขณะนั้น พระราชาจึงรับสั่งกับฉันว่า “เจ้าอย่าได้คิดว่า นางสาลิกาอื่นจะไม่ดีพร้อมเท่าภรรยาของเจ้า เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เคยเห็นนางนกสาลิกาตัวหนึ่ง ผู้เพียบพร้อมเหมือนภรรยาของเจ้าไม่มีผิดเลย นางเป็นนกสาลิกาชาววัง เฝ้าห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครโน่นแน่ะ...ไปสิ...เจ้าจงไปพบนาง ลองถามดูสิว่า นางจะพอใจกับข้อเสนอของเจ้าหรือไม่ หากนางตกลงปลงใจด้วย เจ้าก็จงกลับมาบอกเรา เราจะได้จัดขบวนหลวงไปทำพิธีสู่ขอนางกับพระเจ้าจุลนี แล้วจะได้รับนางมาอยู่กับเจ้า” พระดำรัสของพระองค์ ทำให้ฉันดีใจจนพูดไม่ออก รีบทูลลาพระองค์ แล้วจึงบินมาที่นี่...สาลิกาจ๋า ก็ด้วยเหตุที่ฉันกล่าวมานี่แหละ ฉันจึงต้องมาหาเธอถึงนี่ ปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เธอเป็นคู่ชีวิต ถ้าเธอไม่สลัดตัดอาลัยรักฉันเสียก่อน เราทั้งสองก็คงได้ครองคู่กันสืบไปนะจ๊ะ”สุวโปดกได้กุเรื่องขึ้นมา เพื่อเรียกร้องให้นางนกสาลิกาได้เห็นอกเห็นใจ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงอารมณ์ อย่างน่าสงสารสุดที่จะบรรยาย พร้อมกับเปิดฉากด้วยการขอใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ทั้งหมดนี้เป็นอุบายเพื่อหลอกล้วงความลับจากนางนกสาลิกาเท่านั้นส่วนว่า นางนกสาลิกาเมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่น่าสงสารของสุวโปดกนั้นแล้ว จะเลือกเอาความสงสารเดินหน้า แล้วเอาอุเบกขาตามหลัง หรือว่าจะเอาอุเบกขาเดินหน้า แล้วค่อยเอาความสงสารตามหลังนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปพระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-4803.png)
http://goo.gl/sj9V4