จากตอนที่แล้ว นางนกสาลิกาได้บอกความลับทั้งหมดแก่สุวโปดกว่า “การที่พระเจ้าจุลนีทรงยกพระราชธิดาให้ครั้งนี้ แท้ที่จริงเป็นเพียงอุบายลวงให้พระเจ้าวิเทหราชและมโหสถบัณฑิต เดินทางมาสู่ปัญจาลนครนั่นเอง แต่ครั้นมาถึงแล้ว พระเจ้าจุลนีก็จะจับทั้งสองคนฆ่าเสียให้หายแค้น”
สุวโปดกได้ฟังดังนั้น จึงแกล้งพูดชมเกวัฏว่า “แหม อาจารย์เกวัฏนี่ช่างฉลาดเสียจริง คิดอุบายได้ลึกซึ้งเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นถึงปุโรหิตของพระเจ้าจุลนี” เมื่อสุวโปดกล้วงความลับจากนางสำเร็จแล้ว จึงได้ชวนนางเข้านอนทันที ปล่อยให้ราตรีกาลของคืนนั้นผ่านไปด้วยความสุขเยี่ยงคู่รักที่เพิ่งครองคู่กันใหม่ๆครั้นรุ่งเช้า สุวโปดกก็กล่าวกับนางว่า “น้องสาลิกาจ๋า วันนี้พี่จำใจต้องลาน้องกลับไปเมืองสีวี เพื่อกราบทูลเจ้าเหนือหัวของพี่ให้ทรงทราบ พี่ไปเพียงแค่ 7วันเท่านั้นล่ะ แล้วก็จะมารับน้องสาลิกาของพี่ไปเมืองสีวีด้วยกัน น้องอย่าได้ทุกข์ร้อนไปเลย คอยพี่อยู่ที่นี่นะจ๊ะ”นางนกสาลิกาได้แต่กล้ำกลืนความระทม แล้วฝืนใจพูดว่า “น้องรักพี่เหลือเกิน ไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากกันไปเลย แต่ขอพี่จงรับรู้ไว้ด้วยว่า น้องอนุญาตให้พี่ไปได้เพียง 7วันเท่านั้น หากแม้นเกินกำหนด 7ราตรี แล้ว พี่ยังไม่กลับมาถึงที่นี่ น้องก็จะขอลาตาย”สุวโปดกรีบขัดขึ้นว่า “น้องพูดอะไรอย่างนั้นล่ะจ๊ะ หากพี่กลับมาแล้วไม่พบน้องสาลิกา เห็นทีชีวิตของพี่ก็คงสูญสิ้น ต้องตรอมใจตามเจ้าไปอย่างแน่นอน” คำปลอบประโลมที่หวานซึ้งของสุวโปดก เป็นเพียงลมปากที่หลอกให้นางตายใจเท่านั้นเอง แล้วจึงค่อยๆบินออกไปอย่างช้าๆ ทำท่าทางเหมือนอาลัยอาวรณ์นางอย่างที่สุด เมื่อพ้นสายตานางนกสาลิกาแล้ว ก็รีบเปลี่ยนเส้นทางกลับสู่มิถิลานครทันที
ฝ่ายมโหสถบัณฑิต เฝ้ารอคอยการมาของสุวโปดกด้วยความห่วงใย เกรงว่าสุวโปดกจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มีความมั่นใจในความสำเร็จของสุวโปดก เพราะทุกครั้งที่ให้งานไปไม่เคยพลาดเลย ครั้นเห็นสุวโปดกกลับมาโดยสวัสดิภาพ ก็มีความปีติยินดีและมั่นใจว่างานครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่ฝ่ายสุวโปดก เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็มีอาการร่าเริงยินดี รีบบินตรงเข้าไปหามโหสถผู้เป็นนาย จับลงที่บ่าเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับสำคัญ มโหสถรู้สัญญาณนั้นแล้ว ก็ไม่รอช้ารีบพาสุวโปดกขึ้นไปบนยอดปราสาทเพื่อไต่ถามเรื่องราวทั้งหมดทันทีเมื่อได้ฟังความลับจากสุวโปดกแล้ว มโหสถถึงกับรำพึงในใจว่า “นั่นอย่างไรล่ะ เราคาดไว้แล้วไม่มีผิด แผนการของเกวัฏปุโรหิตช่างร้ายกาจนักหากว่าเจ้าเหนือหัวของเราเสด็จไปสู่ปัญจาลนครจริงๆ พระองค์ก็จะต้องถูกพระเจ้าจุลนีจับปลงพระชนม์เสียเป็นแน่ เอาเถอะ...แม้บัดนี้เจ้าเหนือหัวจะไม่ทรงรับฟังคำทัดทานของเรา และเราก็ยังมิอาจเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้ แต่ถึงอย่างไร ความพินาศก็จงอย่าได้มีแก่เจ้าเหนือหัวของเราเลย เพราะพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่เราเป็นล้นพ้น ควรที่เราจะสนองคุณแด่พระองค์ ไม่ควรปล่อยให้พระองค์ต้องตกไปในเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนีเลย”
ครั้นคิดหาอุบายป้องกันภยันตรายเบื้องหน้า ที่จะเกิดขึ้นแก่พระเจ้าวิเทหราชได้แล้ว จึงเกิดความปีติว่า “บุคคลเมื่อได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากสำนักของพระราชาพระองค์ใด ถึงแม้พระราชาพระองค์นั้นจะกริ้ว ตรัสบริภาษรับสั่งให้ถูกประหารก็ตาม หรือรับสั่งให้ราชบุรุษมาจับคอแล้วขับไล่ไปก็ตาม ก็ไม่พึงเก็บงำการกระทำและพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ ควรหาทางสร้างประโยชน์ สร้างความเจริญรุ่งเรืองสถาพรถวายแด่พระองค์อยู่ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าการทำลายมิตร การทำลายผู้มีพระคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรกระทำอย่างเด็ดขาด”เมื่อมโหสถบัณฑิต มีภาพในใจที่ชัดเจน ที่จะถวายความจงรักภักดียิ่งด้วยชีวิต ตามวิสัยของบัณฑิตแล้ว ดวงปัญญาที่ใสสว่างก็ยิ่งมองทะลุปรุโปร่ง ถึงวิธีการทำความปรารถนาของพระเจ้าวิเทหราชให้สำเร็จ
เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อมีอุปสรรคมาทับถมชีวิตหนักหนาสาหัสสักเพียงใด ขอเพียงแค่เรามีกำลังใจและสติปัญญา ค่อยๆคิด แล้วหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ ไม่ช้าไม่นานอุปสรรคต่างๆนานาในชีวิต ก็จะค่อยๆละลายหายสูญไป เหมือนดังเช่นมโหสถบัณฑิต ที่ไม่ท้อแท้ต่อปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้น มีแต่จะคิดหาทางข้ามอุปสรรคนั้นๆให้สำเร็จให้จงได้เมื่อคิดดังนี้แล้ว มโหสถบัณฑิตก็รีบเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที พร้อมกราบทูลถามว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปปัญจาลนครจริงๆหรือพระพุทธเจ้าข้า” มโหสถทูลถามอีกครั้ง ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคำตอบของพระราชาจะเป็นเช่นไร“แน่นอนทีเดียว พ่อมโหสถ เราต้องไปแน่ และจะไม่เปลี่ยนใจอีกเป็นอันขาด” พระองค์ตรัสรับคำ “การไปปัญจาลนครในครั้งนี้ นอกจากจะได้พระราชธิดาของพระจุลนีมาเป็นศรีสง่าแก่วิเทหรัฐแล้ว ยังจะได้มีโอกาสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับปัญจาลนครอีกด้วย แม้เธอก็ควรจะไปด้วยกันนะ”มโหสถได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า “การไปของเราในครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยให้พระองค์สมพระทัยในทุกสิ่งที่ทรงปรารถนา และขณะเดียวกัน ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพิทักษ์รักษาพระองค์ให้รอดปลอดภัยจากวงล้อมของอริราชศัตรู เหมือนเปลื้องพระจันทร์ออกจากปากราหู ฉะนั้น”
ครั้นแล้ว มโหสถจึงถือโอกาสนั้น กราบทูลความประสงค์ของตนว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักขออาสาเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เพื่อเตรียมสร้างพระราชวังไว้ภายในปัญจาลนคร เพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ใช้เป็นที่ประทับให้สำราญพระราชหฤทัย ตลอดเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่ปัญจาลนคร และหากการก่อสร้างเสร็จลงเมื่อใด ข้าพระองค์ก็จะรีบทูลเชิญเสด็จพระองค์ในทันที พระพุทธเจ้าข้า”พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลของมโหสถแล้ว ก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก เพราะทรงเห็นว่า นอกจากมโหสถบัณฑิตจะมิได้ละทิ้งพระองค์แล้ว เขายังได้ช่วยให้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จตามพระประสงค์อีกด้วย“ดีแล้วพ่อบัณฑิต หากเธอต้องการใช้สอยสิ่งใด เราก็อนุญาตให้เธอนำไปได้เต็มที่ตามที่เธอต้องการ” ท้าวเธอตรัสด้วยทรงปลื้มพระทัยส่วนว่า มโหสถบัณฑิตจะตระเตรียมสิ่งใดไปบ้าง เพื่อให้การเสด็จไปเมืองปัญจาละของพระเจ้าวิเทหราชปลอดภัย และได้รับพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นศรีสง่าแก่วิเทหรัฐนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปพระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-4818.png)
http://goo.gl/kJS4j