จากตอนที่แล้ว ขณะนั้นพระนางสลากเทวี ทรงชวนให้พระนางนันทาเทวี พระราชบุตร พระราชธิดา มาบรรทมร่วมกับพระนางในห้องเดียวกัน ทันใดนั้น ทหารหน่วยจู่โจมของมโหสถบัณฑิต ก็ขึ้นไปเคาะประตูร้องเรียกพระนางเหมือนว่ามีธุระสำคัญเร่งด่วน
พระนางสลากเทวีสดับเสียงเคาะประตูดังรัวผิดปกติ พระนางทรงลุกจากพระแท่น เปิดพระทวารเสด็จออกมาตรัสถามทหารเหล่านั้นว่า “พวกเจ้ามีธุระอะไรหรือ”
ทหารเหล่านั้นแสร้งทูลว่า “บัดนี้พระอธิราชจุลนีฆ่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถได้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชาทั้งหมดจึงได้นัดหมายจะดื่มฉลองชัยบานกัน ดังนั้น จึงได้ส่งพวกข้าพระองค์มา เพื่อนำเสด็จพระองค์ พร้อมด้วยพระนางเจ้านันทาเทวีและพระราชโอรสพระราชธิดาไปสู่มณฑลพิธี พระเจ้าข้า”
พระนางสดับดังนั้น ก็ทรงเชื่อทันทีโดยไม่ทรงลังเลพระทัย เมื่อทหารเหล่านั้นนำเสด็จกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์มาถึงเชิงบันได ก็ช่วยกันเปิดปากประตูอุโมงค์ แล้วทูลเชิญให้เสด็จพระดำเนินไปตามเส้นทางนั้น
เมื่อนำเสด็จไปใกล้ถึงประตูทางออก ทหารเหล่านั้นก็ทูลเชิญกษัตริย์เหล่านั้นให้ประทับพักผ่อนภายในห้องโถง ให้ทหารส่วนหนึ่ง คอยเฝ้าอยู่ภายนอกห้องโถง อีกพวกหนึ่งไปรายงานให้มโหสถบัณฑิตทราบ เมื่อมโหสถบัณฑิตรู้ว่าภารกิจสำคัญสำเร็จลงแล้วด้วยดี จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชขณะนั้น พระเจ้าวิเทหราชประทับนั่งเหนือพระราชบัลลังก์ ทรงรอคอยขบวนของพระราชกุมารีปัญจาลจันทีอยู่ด้วยพระหทัยร้อนรน ทรงรำพึงว่า “ทำไมหนอพระเจ้าจุลนีถึงได้ส่งพระธิดามาช้าเหลือเกิน แล้วเมื่อไหร่เราจึงจะได้เห็นหน้านางผู้มีดวงพักตร์ดั่งจันทร์เพ็ญเสียที” ท้าวเธอทรงรอแล้วรอเล่า แต่แล้วก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าขบวนเสด็จของพระราชธิดาจะมาถึง เมื่อทรงอดทนรอต่อไปไม่ไหว จึงเสด็จลุกจากพระราชบัลลังก์ ผินพระพักตร์ไปยังช่องพระแกล ทอดพระเนตรดูภายนอกพระมหาปราสาท
ทันใดนั้นเอง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทำให้พระองค์ถึงกับทรงตกพระทัย เพราะบัดนี้พระนครที่พระองค์ประทับอยู่ ได้ถูกกองทัพมหึมาเคลื่อนกำลังพลเข้าล้อมกำแพงพระนครไว้แล้วโดยรอบ แสงคบเพลิงนับแสนๆ ดวงถูกสาดส่องไปทั่วบริเวณ
“ท่านอาจารย์ ดูนั่นสิ” พระองค์ทรงชี้พระหัตถ์ เรียกอาจารย์ทั้งสี่ ให้ดูที่ช่องพระแกล อาจารย์เหล่านั้นก็รีบหันไปดูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงบังเกิดความคลางแคลงในพระทัย จึงรับสั่งถามว่า “ท่านเห็นหรือไม่ กองทัพใหญ่โตมโหฬารนั่น คือ กองทัพปัญจาลนครมิใช่หรือ เอ...แต่เหตุใดพระเจ้าจุลนีถึงต้องนำทัพมามากมายถึงเพียงนี้ด้วยเล่า ดูสิ...นั่นพลทหารสวมเกราะ ติดอาวุธครบครัน ทำเหมือนกำลังเตรียมจะรบทัพจับศึกอย่างนั้นล่ะ นี่พระเจ้าจุลนีทรงโปรดปรานเรา หรือว่าทรงกริ้วเรากันแน่น่ะ”
อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงวิตกไปเลย พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ว่ากองกำลังอารักขาที่แน่นหนา พร้อมด้วยคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นมากมายขนาดนั้น คงเป็นกองพลที่ติดตามอารักขาขบวนเสด็จของพระราชธิดานั่นแหละ ชะรอยพระเจ้าจุลนีคงมีพระประสงค์จะถวายความคารวะ และกระทำสักการะแด่พระองค์ในฐานะพระราชอาคันตุกะให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติกระมัง”
พระเจ้าวิเทหราช ยังไม่ทรงแน่พระทัย จึงรับสั่งถามอาจารย์ปุกกสะว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเป็นอย่างที่อาจารย์เสนกะพูดจริงๆหรือ”
อาจารย์ปุกกสะ ก็รีบกราบทูลต่อทันทีว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นด้วยเกล้าว่าพระเจ้าจุลนีทรงมีพระประสงค์ที่จะถวายคารวะพระองค์ ในฐานะพระราชอาคันตุกะจริงพระเจ้าข้า จึงได้จัดวางกองกำลังอารักขาพระองค์ไว้อย่างสมพระเกียรติ พระพุทธเจ้าข้า”
ซึ่งแน่นอนว่า อาจารย์ที่เหลืออีกสอง คือ อาจารย์กามินท์และอาจารย์เทวินท์ ก็คงกราบทูลตรงกันอย่างไม่ต้องสงสัย ล้วนเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ต่างก็ชื่นชมบุญญาธิการของพระเจ้าวิเทหราช ที่พระเจ้าจุลนีได้ทรงส่งกองพลมาอารักขาพระองค์ ซึ่งเป็นการกราบทูลที่เอาอกเอาใจเจ้านายแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีใครกล้ากราบทูลถวายความคิดเห็นว่าพระเจ้าจุลนีทรงยกทัพมาล้อม เพื่อจับพระเจ้าวิเทหราชเพื่อปลงพระชนม์เลยแม้สักคนเดียว
ดังนั้น ในการแสดงความคิดเห็น ควรเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ โดยปราศจากอคติ4 อันได้แก่1.ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักใคร่2.โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ3.โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา4.ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัวทั้ง 4ประการนี้ ไม่ควรประพฤติอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นทางแห่งความเสื่อมระหว่างที่พระเจ้าวิเทหราช ทรงหารือกับอาจารย์ทั้งสี่อยู่นั้น เสียงบัญชาการรบของแม่ทัพนายกอง ที่นำกองช้าง กองม้า กองราบ และพลแม่นธนู เข้าห้อมล้อมพระนครอยู่นั้น ก็ดังสนั่นเอ็ดอึง แว่วกังวานเข้าไปถึงที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช
“เอ้า...เร็ว...นั่น...แบ่งกันไปประจำอยู่ด้านโน้น อีกส่วนหนึ่งจงเฝ้าระวังอยู่ที่นี้ จงเตรียมทุกอย่างให้พร้อม อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด...”
พระเจ้าวิเทหราช ทรงสดับเสียงบัญชาการทัพแว่วมาแต่ไกล ก็ทรงหวาดหวั่นพระหทัย รีบรับสั่งถามมโหสถบัณฑิตซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า “พ่อมโหสถ เธอเข้าใจว่าอย่างไร พระเจ้าจุลนีและเสนาเหล่านั้น กำลังเตรียมจะทำการอะไรกันหรือ”
มโหสถได้ฟังพระดำรัสแล้ว จึงคิดในใจว่า “ก่อนนี้พระราชาไม่ทรงเชื่อถ้อยคำของเราเลย ก็เราเคยทูลเตือนพระองค์แล้วมิใช่หรือ แต่พระองค์กลับทรงกริ้วเรา ถึงกับขับไล่เราออกจากที่เฝ้า เพราะหลงเชื่อคำของราชบัณฑิตทั้งสี่มากกว่า เอาเถิด คราวนี้เราจะต้องข่มขู่พระองค์ให้ทรงเสียวสะดุ้งสักหน่อย พระองค์จะได้ทรงสำนึกบ้างว่าการเลือกคบคนนั้น มีคุณและโทษเช่นไร ภายหลังเราจึงค่อยปลอบพระทัยแล้วนำเสด็จพระองค์ไปจากที่นี่”
ครั้นแล้ว มโหสถจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระอธิราชจุลนีมีกำลังพลมาก ทรงยกทัพใหญ่มาล้อมพระนครไว้ ก็ด้วยหมายจะจับพระองค์แล้วปลงพระชนม์เสียในวันพรุ่งนี้แหละ พระเจ้าข้า”
คำกราบบังคมทูลที่สั้นๆ หนักแน่น และจริงจังของมโหสถบัณฑิต ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันสะดุ้งโหยง หวาดผวาไปตามๆกัน โดยเฉพาะพระเจ้าวิเทหราชนั้น เมื่อรู้ว่ามรณภัยกำลังจะมาถึงพระองค์แล้วในอีกไม่ช้า ก็ทรงตกพระทัยกลัวจนลนลานแทบครองพระสติไม่อยู่ พระศอแห้งผาก พระเขฬะไม่มีในพระโอษฐ์ เกิดความเร่าร้อนในพระสรีระกาย จนปราณแทบจะดับลงในทันทีส่วนว่ามโหสถบัณฑิต จะมีวิธีเตือนสติพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงเข็ดหลาบอย่างไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไปพระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-4852.png)
http://goo.gl/BJUvC