จากตอนที่แล้ว ภายหลังจากส่งเสด็จพระเจ้าวิเทหราช กลับสู่มิถิลานครแล้ว มโหสถได้กลับเข้าไปสู่อุโมงค์ แล้วเดินขึ้นสู่ปราสาท สนานกายด้วยน้ำหอม บริโภคโภชนะรสเลิศแล้วก็เข้าสู่ที่นอน พลางระลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ยิ่งนึกก็ยิ่งภาคภูมิใจในความสำเร็จของตน
ฝ่ายพระเจ้าจุลนี ภายหลังจากที่ทรงบัญชาการทัพ กำชับไพร่พลให้ล้อมพระนครไว้อย่างแน่นหนาในทุกด้านแล้ว ก็ทรงประทับเทียบพลนั้นไว้ตั้งแต่รัตติกาลเริ่มปกคลุมผืนโลก พระองค์ทรงกระวนกระวาย พระหทัยเร่าร้อนด้วยเพลิงพยาบาทที่เผาลนจนไม่เป็นอันพักผ่อน รอคอยเพียงเวลาสำคัญที่จะเข้าห้ำหั่น และบดขยี้ศัตรูให้แหลกลาญ
ครั้นรุ่งอรุณ พระเจ้าจุลนีเสด็จขึ้นสู่พระคชาธาร ซึ่งทรงพละกำลังมหาศาล พลางมีพระบัญชาสั่งขบวนพลทุกกองทัพ ทั้งพลช้าง พลม้า พลรถ พลราบ และกองขมังธนู ประชุมพร้อมกันเพื่อเตรียมเผด็จศึกทันที
ลำดับนั้น พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงกึกก้องว่า “พวกเราทั้งหลายจักพร้อมใจกัน บุกทำลายเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง แล้วจับพระเจ้าวิเทหราชพร้อมมโหสถมาสำเร็จโทษให้จงได้”แล้วพระเจ้าจุลนี ก็มุ่งหน้าเข้าจู่โจมเข้าไปทางด้านหน้าพระราชวัง ที่มโหสถกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่ เหล่าบุรุษแฝงซึ่งถูกมโหสถส่งมาปะปนอยู่ท่ามกลางกองทัพของพระเจ้าจุลนี ได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่า “ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่ถึงยามคับขันจริงๆ เราก็จะต้องจับพระเจ้าจุลนีเอาไว้ก่อน” แล้วก็เร่งคุมพลรบในบังคับบัญชาของตน เข้าประชิดพระเจ้าจุลนีไว้ให้มากที่สุด
ขณะนั้น มโหสถยังคงนอนหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ ครั้นได้ยินเสียงอึกทึกแว่วมา ก็รู้ว่ากองทัพปัญจาลนครกำลังรุกเข้ามาแล้ว จึงค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอน สนานกายแล้วบริโภคโภชนะอันประณีต นุ่งผ้ากาสีเนื้อละเอียดดีมีราคา สวมรองเท้าทองอันวิจิตร มีสตรีรูปงามโสภาถือพัดวาลวิชนีคอยโบกสะบัดพัดวีอยู่ เปิดสีหบัญชรสำแดงกายให้ปรากฏแก่พระเจ้าจุลนี เดินไปมาด้วยลีลาอันงามสง่า ประดุจท้าวสักกเทวราชเสด็จย่างเยื้องไปมาด้วยลีลาอันองอาจ ฉะนั้น
ลีลาท่าทางอันองอาจของมโหสถบัณฑิต ได้ปรากฏเต็มพระเนตรของพระเจ้าจุลนี แต่พระองค์กลับมิได้มีความเลื่อมใสในตัวมโหสถเลย ในพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ มีแต่ความคิดที่ว่า “เราต้องจับมันให้ได้ เราต้องจับมันให้ได้ เราต้องจับมันให้ได้”
พระเจ้าจุลนี ทรงทอดพระเนตรเห็นแต่มโหสถ ไม่ทรงเห็นพระเจ้าวิเทหราช ก็ไม่ทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง จึงทรงมีพระบัญชาให้เคลื่อนกองทัพทั้งหมดเข้าประชิดพระนครทุกด้าน อย่าให้ใครหนีไปได้
ส่วนพระองค์เอง ก็ทรงเร่งไสช้างรุกเข้าไปโดยมิทรงรั้งรอ มุ่งหมายจะจับมโหสถให้ได้ เมื่อกองทัพใหญ่ทั้ง 18กองทัพเข้าประชิดพระนครแล้ว คอยฟังพระบัญชาว่าจะให้โจมตีเมื่อใด หากมีพระดำรัสสั่งมาทันทีทันใด ก็พร้อมที่จะถล่มพระนครให้แหลกลาญได้ในเวลาไม่ช้า
มโหสถเห็นเช่นนั้น จึงนึกในใจว่า “พระเจ้าจุลนีคงจะสำคัญพระทัยว่า พระองค์จะต้องจับเจ้าเหนือหัวของเราให้ได้ในที่นี้ จึงทรงไสช้างมาโดยเร็ว เห็นทีว่าพระองค์คงยังไม่ทรงทราบว่าบัดนี้เราได้จับกุมพระโอรส พระธิดา และพระมเหสีผู้เป็นที่รักของพระองค์ ส่งไปยังมิถิลานครพร้อมกับเจ้าเหนือหัวของเราแล้ว ดีล่ะ...ถ้าเช่นนั้น เราก็ควรกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบก่อน”คิดดังนี้แล้ว จึงเดินไปยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง พลางกล่าวขึ้นเป็นเชิงเย้ยพระเจ้าจุลนี ด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์จะทรงด่วนไสช้างมาทำไมกัน หม่อมฉันสังเกตพระอาการของพระองค์ช่างดูร่าเริงเหลือเกิน เห็นจะทรงสำคัญว่าชัยชนะจะตกเป็นของพระองค์อย่างนั้นหรือ หากพระองค์ทรงดำริเช่นนั้นจริงๆ หม่อมฉันก็จักขอโอกาสกราบทูลพระองค์ว่า เสียใจด้วยพระพุทธเจ้าข้า ความมุ่งหมายของพระองค์จักล้มเหลวเป็นแน่ และข้าพระองค์เชื่อว่าจะไม่มีวันสำเร็จได้อย่างแน่นอน...
ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จะทรงขึ้นสายธนูไว้ทำไมกัน โปรดทรงลดแล่งธนูนั่นลงเสียเถิด ขอพระองค์ทรงทิ้งลูกศรนั่นไปเสีย หรือไม่ก็เก็บเข้ากระบอกดังเดิมเถิด เกราะแก้วที่ทรงสวมมาแต่วานนี้ มันบีบรัดพระวรกายมิให้ทรงสบายตลอดราตรีแล้วนะพระเจ้าข้า พระองค์จะทรงสวมมันไว้ทำไมเล่า ถอดออกเสียเถิดพระเจ้าข้า จะได้ไม่ทรงลำบากพระวรกายเมื่อต้องเสด็จกลับเข้าพระนครของพระองค์ในเช้านี้ พระเจ้าข้า”
พระเจ้าจุลนี ทรงสดับถ้อยคำเย้ยหยันของมโหสถแล้ว ก็ยิ่งทรงพระพิโรธหนักขึ้น ความอาฆาตแค้นอัดแน่นในพระอุราเป็นทับทวี ทรงดำริว่า “เจ้ามโหสถนี่กำแหงมากนัก มาเยาะเย้ยเราได้ ต้องให้มันรู้สำนึกเสียบ้างในวันนี้เป็นทีของใคร”แล้วตรัสขู่ว่า “มโหสถเอ๋ย...เจ้าผู้มีดวงหน้าผ่องใส แต่หนอยแน่ะ เจ้ากล้าดีมาพูดจายิ้มย่องเย้ยหยันข้า นี่เจ้ามิได้ประมาณตนเลยหรือว่าข้าอยู่ในฐานะใด และเจ้าอยู่ในฐานะใด ข้าจะบอกให้รู้ไว้ด้วยว่าบัดนี้ มรณสัญญาได้ปรากฏแล้วแก่เจ้า เจ้าไม่เคยได้ยินบ้างหรือว่า คนที่ใกล้ตาย ผิวพรรณย่อมปรากฏผ่องใสเหมือนอย่างเจ้านี่แหละ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้แผดเสียงคำราม ที่แท้ก็เพื่ออาศัยเสียงนั้นเป็นเพื่อนใจให้หายหวั่น วันนี้แหละ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าเสีย แล้วดื่มฉลองชัยให้สำราญทีเดียว”
ขณะที่มโหสถ กำลังสนทนาอยู่กับพระเจ้าจุลนีนั้น บรรดาแม่ทัพนายกองและเหล่าพลทหาร เมื่อได้เห็นรูปกายที่งดงามของมโหสถแล้ว ต่างก็พากันขยับเข้าไปใกล้พระเจ้าจุลนี ด้วยปรารถนาตรงกันว่าจะได้ฟังถ้อยสนทนาของคนทั้งสองให้แจ้งชัด
การปะทะกันด้วยคารม ระหว่างพระเจ้าจุลนีกับมโหสถบัณฑิต จึงเริ่มดำเนินไปอย่างคึกคักดุเดือด ท่ามกลางความสนใจของมหาชน
ฝ่ายมโหสถ ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า “พระเจ้าจุลนีไม่รู้จักเรา มโหสถบัณฑิตเสียเลย แม้จะเคยพ่ายแพ้เรามาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่ซาบซึ้งเป็นแน่ เอาล่ะ วันนี้จักได้รู้กันอีก”
ครั้นแล้ว จึงทูลข่มขี่ว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อให้พระองค์ทรงคุกคามข้าพระองค์ยิ่งกว่านี้ แม้นสักเพียงใด ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะบัดนี้ข้าพระองค์ได้ล่วงรู้ความลับของพระองค์หมดเปลือกแล้ว พระองค์จะจับพระเจ้าวิเทหราชไม่ได้หรอก...
ทำไมหรือ พระพุทธเจ้าข้า...ก็เพราะพระองค์ทรงใช้เกวัฏ ซึ่งเปรียบเหมือนม้ากระจอกงอกง่อย ไล่ตามพระเจ้าวิเทหราช ซึ่งอาศัยข้าพระองค์เป็นดุจม้าสินธพ ซึ่งว่องไวปานลมพัด เมื่อไหร่จะทรงกวดไล่ได้ทัน พระเจ้าข้า...
ข้าพระองค์จะกราบทูลความจริงให้ก็ได้ว่า ขณะนี้พระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาไปตั้งแต่วานนี้แล้ว หากพระองค์จะทรงเร่งติดตามต่อไป ก็จะเป็นเหมือนเหยี่ยวกาที่บินตามพญาหงส์ทอง ไม่มีวันตามทันอย่างแน่นอน ยิ่งเร่งบินก็เหมือนเร่งตกลงมาตายเท่านั้น พระเจ้าข้า”
ต่างฝ่ายต่างก็ปะทะกันด้วยคารม อย่างคึกคักดุเดือดทับทวียิ่งขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายมโหสถบัณฑิตที่มีความมั่นใจเกินร้อย พร้อมที่จะงัดไม้ตายขึ้นมาถล่มพระเจ้าจุลนีให้ราบคาบ ส่วนว่าไม้ตายของมโหสถ คือ อะไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปพระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/H1KMO