จากตอนที่แล้ว พระนางปัญจาลทันทีได้ประสูติองค์รัชทายาท ถวายแด่พระเจ้าวิเทหราช ข่าวมงคลนั้นยิ่งก่อให้เกิดความปรีดาปราโมทย์ไปทั่วแคว้นวิเทหรัฐ พระราชกุมารทรงเจริญวัยแล้ว ก็ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงพสกนิกรถ้วนหน้า พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระชนมายุต่อจากนั้นอีก 10พระชันษา ก่อนจะเสด็จสวรรคตท่ามกลางความเศร้าโศกของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าข้าราชบริพารผู้จงรักภักดี
เมื่อราชบัลลังก์แห่งวิเทหรัฐว่างลง มโหสถปรารภถึงเหตุนี้ จึงได้จัดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เชิดชูพระราชโอรสขึ้นเป็นบรมกษัตริย์ตามโบราณขัตติยราชประเพณี ภายหลังจากถวายราชสมบัติแด่องค์รัชทายาทแล้ว มโหสถก็หวนรำลึกถึงคำปฏิญญาของตนที่ได้ถวายไว้แด่พระเจ้าจุลนีว่า “เมื่อใดพระเจ้าวิเทหราชเสด็จสวรรคต และหากว่าตนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนั้นแหละ ตนถึงจะมีโอกาสได้รับใช้พระเจ้าจุลนี”มโหสถใคร่จะรักษาคำสัตย์นั้น จึงได้เข้าเฝ้าพระราชาเพื่อทูลขอพระบรมราชานุญาตเดินทางไปรับราชการที่ปัญจาลนคร พระราชาพระองค์น้อยทรงทัดทาน แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อไม่อาจจะยับยั้งความตั้งใจของมโหสถได้ ในที่สุดพระองค์จึงทรงประทานพระบรมราชานุญาตให้ตามที่ขอ ตรัสว่า “ท่านบัณฑิต ท่านจงไปเถิด ไปอยู่กับพระอัยกาของเรา แต่ขอให้ท่านกลับเยี่ยมเราบ้างก็แล้วกัน”ชาวมิถิลาทราบข่าวว่า มโหสถบัณฑิตจะย้ายไปรับราชการที่ปัญจาลนคร ก็ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ เพราะระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านมหาบัณฑิตได้กระทำมามากมายจนนับไม่ถ้วน
ครั้นถึงกำหนดวันออกเดินทาง มโหสถบัณฑิตและนางอมราเทวี พร้อมด้วยบริวาร ถวายบังคมลาพระราชาองค์น้อยแล้ว ก็พากันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ปัญจาลนคร โดยมีราชสำนักของพระเจ้าจุลนีเป็นจุดหมายปลายทาง
เมื่อพระเจ้าจุลนีทรงทราบว่า บัดนี้มโหสถบัณฑิตเดินทางมาถึงปัญจาลนครแล้ว ก็ทรงดีพระทัยเป็นล้นพ้น ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้เตรียมการต้อนรับมหาบัณฑิตจากมิถิลานครอย่างมโหฬาร แม้พระองค์เองก็เสด็จออกไปต้อนรับถึงประตูพระนคร ทรงเชื้อเชิญท่านมหาบัณฑิตและบริวารที่ติดตามมา เข้าสู่พระนครด้วยกองเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่โถง พอที่มโหสถและบริวารจะอยู่ได้อย่างสบาย แล้วพระราชทานบ้านส่วยให้ 80หลัง
นับแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตก็ได้เข้ารับราชการในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และน้อมถวายความจงรักภักดีต่อพระอธิราชจุลนีตลอดมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ท่านมหาบัณฑิตต้องเผชิญกับเหล่าศัตรูหมู่พาลมาตั้งแต่เข้ารับราชการในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช ครั้นย้ายมาประจำในราชสำนักของพระเจ้าจุลนีแล้ว ก็ยังคงมีผู้ไม่หวังดีคอยจ้องจะเล่นงานอยู่นั่นเองการกลับมาสู่ปัญจาลนครของมโหสถในครั้งนี้ สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระนางนันทาเทวีเป็นอันมาก แม้เรื่องที่พระนางเคยถูกคนของมโหสถจับกุมตัวไปยังมิถิลานครจะล่วงเลยมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังฉายชัดอยู่ในพระหทัย พระนางจึงทรงผูกพระทัยเจ็บฝังแน่นในพระหทัยตลอดมา ทรงดำริว่า “ครั้งนั้น เราจำต้องพลัดพรากจากพระสวามี แล้วยังต้องประสบทุกขเวทนาเป็นอันมาก ก็เพราะมโหสถแต่เพียงผู้เดียว”
ดำริฉะนี้แล้ว พระนางก็ยิ่งทรงเคียดแค้นมโหสถเป็นกำลัง และทรงหาโอกาสที่จะทำลายมโหสถเสียให้ได้ และแล้ววันหนึ่ง พระนางก็ได้เรียกเหล่าสตรีนางในซึ่งล้วนเป็นบริวารคนสนิทที่วางใจได้ มาตรัสสั่งว่า “เราไม่ปรารถนาจะเห็นศัตรูเสพสุขอยู่ในปัญจาลนครนี้อีกต่อไป แต่นี้ไป เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่ต้องช่วยเราจับผิดมโหสถ คอยเพ่งเล็งหาโทษของเขามาให้ได้สักอย่างหนึ่ง เพื่อเราจะได้ทูลพระเจ้าจุลนีให้สั่งลงโทษศัตรูให้หายแค้น”
บริวารหญิงเหล่านั้นรับพระเสาวนีย์แล้ว ก็คอยจ้องจับผิดมโหสถอยู่ทุกระยะมิให้คลาดสายตา แต่ความพยายามเหล่านั้นกลับไร้ผล เพราะตลอดเวลาที่ปฏิบัติราชกิจอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี ท่านมหาบัณฑิตไม่เคยเลยที่ประพฤติสิ่งใดนอกลู่นอกทาง อันจะเป็นเหตุให้พระราชาทรงระคายเคืองเบื้องยุคลบาทเลย
“โธ่เอ๋ย...อีกนานเท่าใดกัน เราจึงจะได้เห็นความพินาศของศัตรู” พระนางรับสั่งกับหญิงบริวารในวันหนึ่งด้วยพระพักตร์หมองเศร้า
“พระแม่เจ้า หม่อมฉันมิได้นิ่งนอนใจเลยนะเพคะ ได้ส่งคนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของมโหสถเรื่อยมา แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีวี่แววใดๆที่จะถือเป็นความผิดพลาดพลั้งเผลอได้เลย”
“อืมม...เห็นทีเราคงหมดหนทางแก้แค้นศัตรูเสียแล้วกระมัง” พระนางทรงตัดพ้อ
“หม่อมฉันว่าทางที่ดี พระแม่เจ้าต้องระงับพระทัยไว้สักหน่อย แล้วรอคอยโอกาสเล่นงานมโหสถต่อไปเพคะ”
พระนางนันทาเทวี ทรงปรารถนาจะระบายความอัดอั้นพระทัย ให้หญิงบริวารเหล่านั้นได้แบกรับไปเท่าๆกับพระองค์ จึงทรงรำพึงขึ้นดังๆด้วยความทดท้อพระทัยว่า “เฮ้อ...มีแต่รอ รอ แล้วก็รอ รอจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะเป็นผลอะไรเลย”
“ก็ไม่มีทางอื่นใดนี่เพคะ” บริวารหญิงกราบทูล“เอาเถอะ รอก็รอ คงมีซักวันเถอะน่า” พระนางตรัสทิ้งท้าย คล้ายกับยังทรงมีความหวังอยู่ลึกๆ
ความแค้นของพระนางนันทาเทวีนั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรจากคนพาล เพราะคนพาลมีลักษณะ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว อยู่เป็นประจำ คอยหาทางที่จะเล่นงานมโหสถอยู่ตลอดเวลา ส่วนว่าพระนางนันทาเทวีจะคิดหาอุบายอะไรเล่นงานมโหสถ ให้สมกับความเคียดแค้นที่ฝังแน่นในพระหทัยตลอดมานั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/VeYi7