บวชเพื่อถางทางไปพระนิพานหลวงพ่อขอให้ท่านนึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่บวช พวกท่านทุกรูปได้ปฏิญาณกันต่อหน้าพระประธาน ต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ และต่อหน้าคณะสงฆ์ทั้ง ๒๐ รูป ว่า“ สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ , นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะอิมัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต ”แปลว่า “ ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ผู้เจริญ ขอท่านจงรับเอาผ้ากาสวะแล้วบวชให้ข้าพเจ้าด้วยเถิดเพื่อข้าพเจ้าจะได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดทุกข์ทั้งปวงให้สิ้นไป และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ”เพราะเราปฏิญาณว่าจะบวชเพื่อกำจัดทุกข์ให้สิ้นไปนี้เอง พระอุปัชฌาย์จึงยอมบวชให้ ขอให้จำฝังใจไว้ให้ดีว่า ไม่ว่าจะบวชระยะสั้นแค่พรรษาเดียว หรือบวชตลอดชีวิตก็ตามเป้าหมายการบวชที่แท้จริง คือ การเพื่อกำจัดทุกข์ ไม่ใช่บวชเพื่อเล่นไม่ใช่บวชเพื่อเอาสนุก หรือบวชตามประเพณี แต่บวชแล้วต้องเอาจริงเอาจังมุ่งไปพระนิพานด้วยการฝึกฝนอบรมตนเองตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดเราอาศัยพระธรรมวินัยปฏิบัติตนเพื่อขจัดกิเลสในตัวให้หมดสิ้นไปได้เมื่อไหร่ ทุกข์ก็หมดสิ้นไปได้เมื่อนั้น แล้วก็เห็นพระนิพพานแจ้งสว่างโร่ในที่สุดโดยอัตโนมัติถ้าถามว่า พระนิพพานมีลักษณะอย่างไร?หลวงปู่ หลวงทวด ท่านตอบไว้ชัดเจนว่า “ ลูกเอ๋ย ก้มหน้าก้มตาปฏิบัติไปเถอะ ถ้าดับทุกข์ไปได้มากเท่าไร ก็รู้แจ้ง เห็นแจ้งไปตามลำดับชัดมากขึ้นเท่านั้น ว่าพระนิพพานมีลักษณะเป็นอย่างไรอย่ามัวเสียเวลาไปเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาเลยนะลูก "เนื่องจากการกำจัดทุกข์ให้หมดไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วยังมีลักษณะเฉพาะว่า กิเลสนั้นพอกกำจัดหมดปุ๊บ เผลอปั๊บกิเลสก็งอกขึ้นมาใหม่อีก เหมือนหญ้าแพรกหญ้าคา จึงต้องกำจัดกิเลสกันทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเปรียบการเข้าไปรู้แจ้งเห็นแจ้งในพระนิพพานกับการเดินทาง ก็เปรียบเสมือนเดินบนเส้นทางที่ยาวไกลที่แสนจะรกทึบ ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอบรมตนเองข้ามภพข้ามชาติบางครั้นหลวงปู่ หลวงทวดท่านถึงกับรำพึงว่า “ การบวชเหมือนถางทางไปพระนิพพาน ”ทำว่า “ ถางทาง ” กับการทำพระนิพพานให้แจ้งมันมีอะไรเป็นความรกขวางทางอยู่หรือ ถึงต้องมาถากมาถางออกไปให้เตียนคำว่า “ ถางทาง ” เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบที่แสดงออกถึงความเอาจริงเอาจังในการสร้างหนทางสายใดสายหนึ่ง เพื่อไปให้ถึงที่หมายเราเรียนกันมาแล้วใน “ นวโกวาท ” ว่าทันทีที่เกิดมา แต่ละคนก็มีสิ่งหนึ่งฝังอยู่ในใจเราแล้ว ต่างกันแต่ว่า ใครจะมีอยู่มากน้อยกว่ากันแค่ไหน สิ่งนี้มันเป็นความรกอยู่ภายในใจของทุกคน ซึ่งทรงธรรม เรียกว่า กิเลสกิเลสเป็นเหมือนวัชพืชหรือป่ารกที่อยู่ในใจกิเลสมีความรกขนาดไหนจึงขวางทางไปพระนิพพานได้?หลวงปู่หลวงทวดท่านพูดเป็นเชิงเปรียบเทียบไว้ว่า แม้เอาความรกของป่าทั้งหลายในโลกนี้มารวมกัน ก็ไม่รกทึบเท่ากับป่ากิเลสที่อยู่ในใจของแต่ละคนนี่คือ ดีกรีความรกของกิเลสที่ขวางทางไปพระนิพพานการที่ใครจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ก็ต้องขุดรากถอนโคนป่ากิเลสในใจออกไปให้หมดสิ้น จนกระทั่งมันไม่สามารถงอกกลับคืนมาใหม่ได้อีกดังนั้น ใครก็ตามที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว หากจะเป็นพระแท้ให้สมเจตนาในการบวช จึงต้องเอาจริงในการฝึกฝนอบรมตนเองตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จะทำเหยะๆ แหยะ ๆ ไม่ได้ เพราะงานสำคัญที่สุดในชีวิตนักบวช ก็คือ งานถางกิเลสออกจากใจไปนิพพานผู้ที่เอาจริงเท่านั้น จึงสามารถถางป่ากิเลสออกจากใจ แล้วเปิดหนทางไปพระนิพพานให้ตัวเองได้สำเร็จถ้าจะถามต่ออีกว่า แล้วพระนิพพานอยู่ที่ไหน หลวงปู หลวงทวดท่านก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ ก็อยู่ในตัวคุณเองนั่นแหละ ก้มหน้าก้มตาถางทางเร็วเข้าเถอะ”ที่มา : หนังสือ “บวชไม่เสียผ้าเหลือง สึกไม่เปลืองผ้าหลาย” พิมพ์ครั้งที่ ๒ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว)สนใจบวช หรือต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่< />
http://goo.gl/bCNne