ทศชาติชาดก
บทความธรรมะ Dhamma Articles > ทศชาติชาดก
ข้าแต่ท่านฤษี ได้โปรดเถิด จงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านกล่าวถึงสามะกุมารว่าเขากำลังไปตักน้ำ แต่บัดนี้ สามะกุมารนั้นได้ถูกข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้วด้วยลูกศรอาบยาพิษ อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
...ข้าแต่พระราชา ...พระองค์ทรงทำความผิดไว้มาก ได้กระทำกรรมอันชั่วช้า ประทุษร้ายสุวรรณสามผู้บริสุทธิ์ ทำให้บิดามารดาผู้ตาบอดของเธอพลอยลำบาก และกำลังจะอดตายตามกันไป พระองค์ทรงทำบาปมหันต์ จะตกไปสู่อบายอย่างแน่แท้ อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ครั้นได้สดับคำกล่าวตามที่เป็นจริงของสุวรรณสามแล้ว พระราชาก็ทรงเกิดความละอายพระทัยว่า เรายิงพ่อสามะผู้ไร้ความผิดก็นับว่าทำกรรมอันหยาบช้านักแล้ว ยังมากล่าวเท็จกับเธออีก จึงทรงรับสารภาพว่า “ดูก่อนสามะ อันที่จริง เนื้อเหล่านั้นเห็นท่านแล้วก็มิได้ตกใจอะไรเลย เรากล่าวคำเท็จกับท่าน เพราะเราถูกความโกรธและความโลภครอบงำ จึงยิงท่านด้วยลูกศร” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
...ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์แล้ว ไยจึงซ่อนพระองค์อยู่ เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าก็เพราะงา แล้วข้าพระองค์เล่า เป็นผู้ควรถูกยิงด้วยเหตุอะไร อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
มาถึงตรงนี้ มีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง ดังที่เคยสดับมาว่าผู้ที่เจริญเมตตาจิตอยู่เป็นประจำนั้น ย่อมได้รับอานิสงส์ถึง 11 ประการ หนึ่งใน 11 ประการนั้นก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า ไฟ ศัสตรา และยาพิษไม่อาจกล้ำกราย ก็แล้วพระโพธิสัตว์ผู้เจริญเมตตาจิตอยู่เป็นประจำ ทำไมจึงถูกยิงได้เล่า อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
เมื่อยามอรุโณทัย พระโพธิสัตว์จะตื่นแต่เช้าตรู่ รีบลุกจากที่นอนโดยไม่อิดออด เก็บกวาดที่อยู่อาศัยของบิดามารดาจนสะอาดเรียบร้อย จากนั้น พระโพธิสัตว์จะเข้าไปกราบเท้าบิดามารดาทั้งสอง เพื่อไปตักน้ำยังแม่น้ำมิคสัมมตา อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของบิดามารดาแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บังเกิดความสงสารเป็นกำลัง ได้คิดหาวิธีที่จะพาท่านทั้งสองออกจากบริเวณนั้นให้ได้ จึงรีบไปหาไม้ที่มีความยาวกะว่าว่าให้พ้นภัยจากพิษร้ายของอสรพิษ แล้วนำมาให้บิดามารดาจับที่ปลาย ส่วนตนจับที่หัวไม้เท้า แล้วบอกกับท่านทั้งสองว่า “พ่อกับแม่ จงจับที่ปลายไม้เท้านี้เถิด ลูกจะนำท่านทั้งสองออกจากที่นี้กลับสู่อาศรมของเรา” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ทั้งสองจึงพากันไปยืนหลบฝนอยู่บนจอมปลวกใหญ่ภายใต้ ร่มไม้นั้น โดยหารู้ไม่ว่า ภายในจอมปลวกนั้นมีอสรพิษร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ สายฝนได้ไหลหลั่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย จนร่างของทั้งสองท่านเปียกชุ่ม น้ำฝนปนเหงื่อไคลของฤษีทั้งสองได้ไหลลงสู่ช่องจอมปลวก อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ท้าวสักกะจึงทรงให้คำแนะนำว่า “ข้า แต่ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพียงแต่เอามือลูบที่ท้องของปาริกาฤษิณีในเวลาที่นางมีระดู เพียงเท่านี้นางก็จะตั้งครรภ์” ทุกูลฤษีได้ฟังดำรัสอย่างนั้นแล้วก็เบาใจ จึงรับคำว่า “ถ้าให้ทำเพียงเท่านี้ ก็อาจจะกระทำได้” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ด้วยเดชแห่งศีลและพรหมจรรย์ของคนทั้งสอง ได้บันดาลให้ภพแห่งท้าวสักกะเกิดอาการเร่าร้อนขึ้น พระองค์จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา แล้วรับสั่งให้วิสสุกรรมเทพบุตรไปเนรมิตบรรณศาลาและบรรพชิตบริขารเพื่อบุคคลทั้งสอง อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
กล่าวถึงสองหนุ่มสาว ทุกูล (ทุ กู ละ) และปาริกา เมื่อรู้ว่าวันแต่งงานถูกกำหนดขึ้นแล้ว ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ ต่างคิดหาวิธีที่จะระงับการแต่งงานครั้งนี้ให้ได้ เมื่อมองไม่เห็นหนทางใด ทั้งสองจึงแอบเขียนจดหมายถึงกัน แล้วให้บริวารของตน นำไปมอบให้กับอีกฝ่าย โดยไม่ให้บิดามารดาของตนได้ล่วงรู้ อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ชีวิตของผู้คนทั้งสองหมู่บ้านนี้ ล้วนมุ่งดำรงชีพด้วยสัตว์ทั้งหลายทั้งเล็กและใหญ่ และสิ่งของที่ได้มาจากป่า วันแล้ววันเล่าที่เขาต้องสะพายถุงสัมภาระ ในมือมีธนูเข้าสู่ป่า แสวงหาเหล่ามฤคและสัตว์ป่านานาชนิด อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
วันแล้ววันเล่าที่ภิกษุผู้มีความกตัญญูได้ปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดีเช่นนี้ ไม่เคยให้โยมทั้งสองได้อด แต่สำหรับท่านเองนั้นมักจะอดอาหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อออกบิณฑบาตแสวงหาภิกษาหารมาเพื่อตนเอง ก็มักจะออกเมื่อยามสายมากแล้ว ส่วนมากมักจะได้เพียงบาตรเปล่ากลับสู่วิหาร มีน้อยวันเหลือเกินที่ได้ฉันจนอิ่ม อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
“บุคคลใดแสวงหาภัตตาหารมาได้โดยชอบธรรม แล้วเลี้ยงดูบิดามารดา เขาผู้นั้นย่อมได้บุญมาก เมื่อละจากโลกแล้วย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์” ท่านเกิดความร่าเริงยินดีว่า “เราเข้าใจผิดมานานว่า คนที่จะสามารถปฏิบัติบำรุงบิดามารดาได้ ต้องเป็นคฤหัสถ์เท่านั้น แต่พระศาสดาได้ตรัสแล้วว่า แม้จะเป็นบรรพชิตก็สามารถทำอุปการะแก่บิดามารดาได้ ...ช่างดีจริง หากเราไม่ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้วไซร้ ป่านนี้เราก็คงต้องเสื่อมจากชีวิตสมณะ คงต้องลาสิกขาไปแล้วเป็นแน่ อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
เขามีชีวิตสะดวกสบายอยู่บนปราสาท ไม่ต้องทำงานอะไรด้วยมือของตนเลย วันหนึ่งเขาได้เกิดความคิดว่า “มหาชน เดินผ่านถนนหน้าบ้านเราไปสู่อารามเพื่อฟังธรรมทุกวัน เราแม้จะอยู่ใกล้เพียงแค่นี้เอง แต่ก็ไม่เคยได้ไปเลย วันนี้เราจะไปวัดไปฟังธรรมเหมือนพวกเขาบ้าง” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ทรงยื่นคำขาดว่า “น้องหญิงสีวลีผู้เจริญ หญ้ามุงกระต่าย ซึ่งเราถอนขึ้นแล้วนี้ ไม่อาจสืบต่อกันได้อีก ฉันใด การอยู่ร่วมกันระหว่างเธอกับฉัน ก็ไม่อาจสืบต่อได้อีก ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอจงอยู่ผู้เดียว ฉันก็จะอยู่ผู้เดียวเหมือนกัน” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
กุมาริกาได้กล่าวเตือนพระสติพระมหาสัตว์ต่อไปว่า “ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมไม่พาสตรีเที่ยวไป แต่ทำไมท่านจึงพาภรรยาซึ่งมีรูปงามดุจเทพอัปสรเที่ยวไปด้วยเล่า ภรรยาจะทำให้สมณธรรมของท่านมัวหมอง ท่านจงยินดีในการอยู่คนเดียวเถิด” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
“ใครหนอเป็นผู้แนะนำธรรมะสั่งสอนพระองค์ ถ้อยคำอันสะอาดนี้ เป็นถ้อยคำของใคร ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เพราะข้าพระองค์มิเคยเห็นพระองค์ได้ตรัสกับสมณะผู้มีวัตรปฏิบัติก้าวล่วง ทุกข์ ซึ่งแนะนำหนทางสู่ความหลุดพ้นแก่พระองค์เลย” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
นารทดาบสต้องการให้พระโพธิสัตว์สมาทานมั่น จึงถวายข้อคิดว่า “พระองค์ เพียงแต่ทรงเพศบรรพชิตนี้ จะสำคัญว่า เราข้ามพ้นกิเลสแล้วหาได้ไม่ กรรมคือกิเลสนี้ ไม่ใช่ว่าจะพึงข้ามได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะยังมีอันตรายอยู่มาก” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกจากพระนครไปได้ระยะ หนึ่ง ก็มีพระดำริว่า เราจะให้พระเทวีและมหาชนกลับในบัดนี้ จึงทรงหยุดพระดำเนิน แล้วหันมาตรัสถามผู้ที่ติดตามพระองค์มาว่า “ราชสมบัติในมิถิลานครเป็นของใคร” เหล่าอำมาตย์ก็กราบทูลว่า “เป็นของพระองค์ พระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ที่ข้ามรอยที่เราจะขีดนี้” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์ทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน เสด็จหนีไปแต่ผู้เดียว ทรงทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร พวกหม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ พระองค์มุ่งเสด็จไปประดุจว่าปราศจากราชสมบัติเสด็จออกผนวช” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
ทรงคาดการณ์ว่า นี้จะต้องเป็นเส้นพระเกศาของพระราชสวามี พระองค์ทรงปลงพระเกศาแล้วก็ทรงเปลี่ยนชุดเป็นบรรพชิต สละเครื่องราชาภรณ์วางไว้แล้วก็เสด็จลงจากพระราชวังไป ก็ทรงทราบได้ว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าเสียแล้ว จะต้องเป็นพระราชสวามีสุดที่รักของเราอย่างแน่นอน” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
สิ่งที่ได้ยากที่สุดกลับเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้ด้วยใจ นั่นก็คือความสุขที่แท้จริงที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่ชาวโลกมักมองข้ามกัน เพราะมัวเอาใจไปติดอยู่กับสิ่งของนอกตัวซึ่งเป็นเครื่องล่อให้ติดอยู่ในภพ ทั้งสาม อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
“มะม่วงอีกต้นยังคงความสดเขียวเหมือนเดิม ไม่มีใครมารุกราน เพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักกิ่งรานใบ เพราะอาศัยผลเป็นเหตุ แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล ส่วนบรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไร้ผล ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของใคร ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล แต่ไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล ตัวเรานี่แหละ จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไร้ผล เราจักสละราชสมบัติออกบวช” อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ
นรชนผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์แล้ว ก็ไม่พึงตัดความหวังที่จะเข้าถึงความสุข จริงอยู่ คนเป็นอันมาก เมื่อประสบทุกข์ ก็ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เมื่อได้รับความสุข จึงค่อยทำสิ่งที่มีประโยชน์ คนเหล่านั้นไม่ตระหนักถึงประโยชน์ จึงเข้าถึงความตาย อ่านเรื่องทศชาติชาดกต่อ