มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 19เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปราสำหรับสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้รู้สึกไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับความขยันของท่านมหาเสนาบดีนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ แม่ทัพภาคท่านนี้เป็นคนที่มีปริมาณความขยันอยู่ในระดับที่สูงน้อย หรือมีเส้นกร๊าฟของความขยันนอนราบไปกับพื้น คือเป็นคนที่ขี้คร้าน ด้วยเหตุนี้เอง แม่ทัพภาคท่านนี้จึงไม่ค่อยได้ทำงานสักเท่าไหร่ นอกจากตัวท่านจะไม่ค่อยได้ทำงานทำการแล้ว ตัวท่านยังรู้สึกขัดอกขัดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นคนที่ขยันทำงานเกินหน้าเกินตาตัวท่านอีกด้วยแม่ทัพภาคท่านนี้ รู้สึกไม่ค่อยชอบความขยันของท่านมหาเสนาบดีสักเท่าไหร่แต่ด้วยความที่ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้มีเส้นมีสายดี คือได้รับการสนับสนุนจากเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองหลวง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้ ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอยู่ที่เขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ได้มาประจำการอยู่ที่เขตหัวเมืองแห่งนี้ กองกำลังทหารที่ประจำการอยู่ภายในเขตหัวเมืองชายแดน ก็เกิดความอ่อนแอและขาดระเบียบวินัยมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีการออกไปหารายได้พิเศษ ด้วยการรับจ้างปลอมตัวเป็นโจรเพื่อออกมาปล้นพวกชาวบ้านเมื่อท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ได้มาประจำการ กองกำลังทหารมีความอ่อนแอและขาดระเบียบวินัยมากแต่พอท่านมหาเสนาบดีได้มาประจำการอยู่ที่เขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้แล้ว ตัวท่านก็ได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในกองทัพ ที่ประจำการอยู่ที่หัวเมืองแห่งนั้น เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบความจริงเช่นนั้น ตัวท่านก็เกิดความรู้สึกปริวิตกและเป็นกังวลขึ้นมาในใจว่า “ณ ช่วงเวลาที่กองกำลังทหารในเขตหัวเมืองชายแดนกำลังตกอยู่ในภาวะอ่อนแอและเปราะบางเช่นนี้ ถ้าหากทางแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ หรือแคว้นของพระราชบิดาของพระราชาเกะกะเกเร เกิดคิดรุกรานและยกทัพเข้ามาบุกแล้วละก็ กองกำลังทหารในเขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้ คงไม่อาจที่จะรับมือ หรือต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแน่นอน”ท่านมหาเสนาบดี ได้รีบพัฒนาระบบต่างๆ ภายในกองทัพให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นระเบียบมากขึ้นเมื่อท่านมหาเสนาบดีเล็งเห็นถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกองทัพแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงไม่รอช้าได้รีบพัฒนาระบบต่างๆ ภายในกองทัพให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นระเบียบมากขึ้นในทันที ไม่ว่าจะเป็นจัดตั้งหน่วย ฉก. เฉพาะกิจที่ขึ้นกับท่านโดยตรง และฝึกซ้อมกองกำลังทหารในกองทัพให้เข้มแข็งและพร้อมรบอยู่เสมอ เป็นต้นและเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบว่า ท่านแม่ทัพภาคเริ่มรู้สึกไม่พอใจในการทำงานที่ขยันขันแข็งแบบเกินหน้าเกินตาตัวท่านแม่ทัพภาคแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงไม่รอช้า ได้รีบไปทำการชี้แจงแสดงเหตุผลเกี่ยวกับการพัฒนางานด้านต่างๆ ในกองทัพให้แม่ทัพภาคท่านนี้ฟังอย่างละเอียดท่านมหาเสนาบดีได้รีบไปทำการชี้แจงให้แม่ทัพภาคท่านนี้ฟังอย่างละเอียดและด้วยความที่ทุกๆ เหตุผล ทุกๆ ถ้อยคำที่ท่านมหาเสนาบดีได้กล่าวกับท่านแม่ทัพภาค ล้วนกลั่นออกมาจากใจและเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อกองทัพอย่างแท้จริง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะยกขึ้นมาโต้แย้งท่านมหาเสนาบดีได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ทัพภาคจึงจำใจและจำยอมที่จะต้องอนุมัติในทุกๆ สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีได้นำเสนอมานั่นเองและด้วยความขยันขันแข็ง มุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังในการพัฒนางานด้านต่างๆ ภายในกองทัพของท่านมหาเสนาบดีนี่เอง จึงส่งผลทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้อดรนทนไม่ได้ต้องรีบทำตัวเองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ และขยันขันแข็งตามท่านมหาเสนาบดีไปด้วยแม่ทัพภาคท่านนี้จึงตื่นตัว และขยันขันแข็งตามท่านมหาเสนาบดีไปด้วยส่วนสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้ ต้องรีบทำตัวให้ตื่นตัวอยู่ตลอดนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ แม่ทัพภาคท่านนี้กลัวว่า ตัวเองจะถูกเลื่อยขาเก้าอี้ หรือพูดให้ชัดๆ ก็คือตัวท่านกลัวว่า “ตำแหน่งของตัวท่านอาจจะหลุดลอยไปอยู่กับท่านมหาเสนาบดี ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นน้องที่มีไฟแรง ชนิดแรงดีไม่มีตก อีกทั้งยังเป็นนายทหารที่มีอานุภาพที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย เพราะมีดีกรีเป็นถึงนายทหารคนสนิทของพระราชโอรสเลยทีเดียว”ในระหว่างที่ท่านมหาเสนาบดีกำลังพัฒนากองกำลังทหารในกองทัพ ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่นั้น ก็พลันมีคำสั่งด่วนจากทางส่วนกลาง เรียกตัวท่านมหาเสนาบดีให้กลับเข้าไปยังวังหลวงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการถูกเรียกตัวกลับไปยังวังหลวงในครั้งนี้ ท่านมหาเสนาบดีก็ได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นั่นก็คือ การทำหน้าที่คุ้มกันพระราชโอรส ในระหว่างการเสด็จเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ หรืออาจเรียกได้ว่า ท่านมหาเสนาบดีต้องทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดนั่นเองมีคำสั่งด่วนจากทางส่วนกลาง เรียกตัวท่านมหาเสนาบดีให้กลับเข้าไปยังวังหลวงอีกครั้งหนึ่งสำหรับเจ้าของแนวคิด เรื่องการส่งพระราชโอรสให้ไปเป็นราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ โดยให้ท่านมหาเสนาบดีทำหน้าที่คุ้มกันดูแลความปลอดภัยนั้น ทั้งนี้ก็เป็นความคิดของเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เคยทักท้วง หรือแย้งไม่ให้ท่านมหาเสนาบดี ได้มารับตำแหน่งแม่ทัพที่คุมกำลังทหารในเมืองหลวงนั่นเองด้วยความคิดของเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เคยแย้งไม่ให้ท่านมหาเสนาบดี ได้มารับตำแหน่งแม่ทัพที่คุมกำลังทหารในเมืองหลวงโดยเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างสวยหรูว่า “การส่งพระราชโอรสเป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือนั้น ถือได้ว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุด อีกทั้งยังจะทำให้สัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นเกิดขึ้นได้โดยง่าย และเมื่อทั้งสองแคว้นมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันแล้ว ก็จะทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างแคว้นเป็นไปได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น”เสนาบดีผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างสวยหรูและก่อนที่ท่านมหาเสนาบดีจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อเตรียมปฏิบัติการภารกิจพิเศษสำคัญนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็ได้เรียกประชุมเหล่าบรรดาขุนพลนายทหาร ที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของตัวท่าน เพื่อสั่งการและมอบหมายงานให้นายทหารแต่ละคนคอยควบคุมดูแลกองกำลังทหารหน่วยต่างๆ ในเขตหัวเมืองที่ตัวท่านประจำการอยู่ ซึ่งก็คือเขตหัวเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือท่านมหาเสนาบดีก็ได้เรียกประชุมเหล่าบรรดาขุนพลนายทหารจากนั้นท่านมหาเสนาบดี ก็ได้จัดวางระบบในการติดต่อสื่อสารและส่งข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว เพื่อที่ตัวท่านจะได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเขตหัวเมืองแห่งนี้ ซึ่งก็คือเขตหัวเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนืออยู่ตลอดเวลาท่านมหาเสนาบดี ก็ได้จัดวางระบบในการติดต่อสื่อสารและส่งข่าวสารที่รวดเร็วฉับไวเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้จัดวางระบบการควบคุมดูแลกองกำลังทหาร และการติดต่อประสานงานทุกอย่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาเสนาบดีก็ไม่รอช้า ได้รีบออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้นในทันทีส่วนว่า เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้เดินทางมาถึงที่เมืองหลวงของแคว้นแล้ว เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร เราก็คงจะต้องมาติดตามกันในตอนต่อไป
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)
บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
"วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-14674.png)
http://goo.gl/Sx1U2