มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 13
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของพสกนิกรของพระองค์อย่างใกล้ชิดหลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีได้นำช่อดอกไม้มงคล ไปติดประดับไว้ที่หน้าบ้านของท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาเสนาบดีก็ได้ทราบเรื่องจากคุณพ่อของท่าน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ว่า ในตอนนี้ พระราชาและพระราชโอรส ได้เสด็จมาทอดพระเนตรงานเทศกาลฉลองประจำปีที่เมืองนี้เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของพสกนิกรของพระองค์อย่างใกล้ชิดเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบเรื่องจาก คุณพ่อของท่าน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เช่นนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอยู่ในใจเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบเรื่องจาก คุณพ่อของท่าน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่นนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอยู่ในใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวท่านเพิ่งได้ไปพบกับพระราชโอรส ซึ่งได้เสด็จหลบออกมาจากพลับพลาที่ประทับ เพราะทรงต้องการที่จะเห็นความเป็นอยู่ของพสกนิกรอย่างใกล้ชิดมาเรียบร้อยแล้วและที่สำคัญ ตัวท่านมหาเสนาบดีเองยังได้ปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ตื่นเต้นและสนุกสนานร่วมกับพระราชโอรสมาด้วย นั่นก็คือ การชิงช่อดอกไม้มงคล และจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็ยิ่งทำให้ตัวท่านเองรู้สึกปลาบปลื้มในพระปรีชาสามารถและปฏิภาณไหวพริบของพระราชโอรสอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้ท่านมหาเสนาบดีมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับพระราชโอรสมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วยพระราชโอรสเกิดความคิดขึ้นมาว่าในอนาคตถ้าได้ท่านมหาเสนาบดีมาร่วมงานด้วย ท่านมหาเสนาบดีน่าจะสามารถทำงานร่วมกับพระองค์ได้เป็นอย่างดีส่วนพระราชโอรส หลังจากได้ร่วมปฏิบัติการชิงช่อดอกไม้มงคลร่วมกับท่านมหาเสนาบดีในงานเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปีของเมืองในครั้งนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงรู้สึกชื่นชมในฝีไม้ลายมือขอท่านมหาเสนาบดีเป็นอย่างมาก เพราะฝีไม้ลายมือของท่านเสนาบดีนั้นที่ไม่ธรรมดาจริงๆและด้วยความไม่ธรรมดาของท่านมหาเสนาบดีนี่เอง จึงทำให้ พระราชโอรสเกิดความคิดขึ้นมาว่าในอนาคตถ้าได้ท่านมหาเสนาบดีมาร่วมงานด้วย ท่านมหาเสนาบดีน่าจะสามารถทำงานร่วมกับพระองค์ได้เป็นอย่างดี เพราะท่านมหาเสนาบดีเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและความเคารพอ่อนน้อมแบบหาตัวจับยากท่านมหาเสนาบดีจึงได้ขอโอกาสพระราชโอรส ในการเอ่ยถามถึงข้อสงสัยที่ตัวท่านอัดอั้นตันใจมานานในเวลาต่อมา เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้มีโอกาสพบกับพระราชโอรสอีกครั้ง ท่านมหาเสนาบดีจึงได้ขอโอกาสพระราชโอรส ในการเอ่ยถามถึงข้อสงสัยที่ตัวท่านอัดอั้นตันใจมานาน นั่นก็คือในยามที่พระราชโอรสทรงทอดพระเนตรการแสดงวิชาต่อสู้หรือยุทธวิธีทางการทหาร พระองค์กลับทรงรู้สึกไม่แสดงออกถึงอาการยินดียินร้ายใดๆ ในการแสดงต่างๆ ประหนึ่งราวกับว่า พระองค์ทรงมีเรื่องไม่สบายพระทัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ทำให้เหล่านายทหารใหม่ไม่กล้าเข้าหา เพราะกลัวจะเป็นการขัดพระราชหฤทัยแต่พอพระองค์ได้เสด็จประทับอยู่ท่ามกลางเด็กๆ พระองค์กลับทรงรู้สึกเบิกบานใจแต่พอพระองค์ได้เสด็จประทับอยู่ท่ามกลางเด็กๆ พระองค์กลับทรงรู้สึกเบิกบานใจ มีความสุข มีชีวิตชีวาดูเป็นธรรมชาติ และไม่ถือพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งพระจริยวัตรเช่นนี้ เป็นพระจริยวัตรที่งดงามน่าเข้าใกล้ยิ่งนักที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงมีความรัก, ความเมตตาต่อชาวบ้านและพวกเด็กๆ เป็นอย่างมากและที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงมีความรัก, ความเมตตาต่อชาวบ้านและพวกเด็กๆ เป็นอย่างมาก ครั้นพระองค์ทรงเห็นพวกเด็กๆ กำลังมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน พระองค์ก็ทรงไม่นิ่งดูดาย รีบอาสาเข้าไปช่วย
ไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้พวกเด็กๆ ทั้งสองฝ่ายตีกันหรือทะเลาะกัน แถมยังสามารถสอนคุณธรรมเรื่องการแบ่งปันให้กับพวกเด็กๆ ที่ดูเหมือนจะดื้อด้านไม่ฟังเสียงใคร ได้เข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงสอน จนเด็กๆ เหล่านั้นสามารถนำไปใช้ได้อย่างง่ายๆ อีกด้วย ซึ่งความสงสัยเหล่านี้ แม้ปัญญาระดับหัวกะทิขั้นเทพอย่างท่าน ยังไม่อาจที่จะค้นหาคำตอบนี้ได้เมื่อพระราชโอรส ทรงได้ฟังข้อสงสัยที่ท่านมหาเสนาบดีติดค้างอยู่ภายในใจเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงพระสรวลแต่พองามเมื่อพระราชโอรส ทรงได้ฟังข้อสงสัยที่ท่านมหาเสนาบดีติดค้างอยู่ภายในใจเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงพระสรวลแต่พองาม คือ แย้มยิ้มแบบนิดๆ แล้วพระองค์ก็ทรงเฉลยปริศนาทั้งหมดให้ท่านมหาเสนาบดี ฟังในทำนองที่ว่าในตอนที่ พระองค์จะต้องเสด็จตามพระราชบิดาไปที่โรงเรียนฝึกนายทหาร หรือ โรงเรียนเตรียมทหารนั้น พระองค์ก็ทรงเข้าใจเรื่องวิชาการต่อสู้ หรือยุทธวิธีทางการทหาร และเรื่องการปกครองเป็นอย่างดีแล้ว แต่ที่พระองค์ทรงมีความรู้สึกนิ่งเฉยต่อหน้านายทหารทุกคนนั้น ก็เป็นเพราะ พระองค์ไม่โปรดให้มีการรบพุ่งกัน เพราะการรบราฆ่าฟันกันมีแต่ความสูญเสียทั้งชีวิตและเลือดเนื้อตัวพระองค์เองก็ไม่ได้มีความปรารถนาอยากที่จะเป็นพระราชาเลยอีกทั้ง ตัวพระองค์เองก็ไม่ได้มีความปรารถนาอยากที่จะเป็นพระราชาเลย ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะภายในใจลึกๆ พระองค์ทรงมีความรู้สึกว่า พระองค์ทรงมีภารกิจอันยิ่งใหญ่บางอย่างรออยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าการครองราชย์สมบัติเป็นพระราชาแต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังไม่รู้ว่าภารกิจนั้นคืออะไรพระองค์จึงทรงเป็นห่วงพวกเด็กๆ และไม่อยากให้พวกเด็กๆ เป็นคนไม่ดีส่วนในเวลาที่พระองค์เสด็จประทับอยู่ท่ามกลางเด็กๆ ซึ่งมีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์นั้น แล้วพระองค์ทรงมีสีหน้าที่ดูเบิกบาน และมีความสุขมากกว่าตอนที่ไปดูการฝึกซ้อมของทหารนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ เวลาที่พระองค์ได้อยู่กับเด็กๆ ความมีชีวิตชีวาและความเป็นธรรมชาติของเด็กๆ มันช่วยทำให้พระองค์พลอยมีความสุขไปด้วยอีกทั้ง ด้วยอัธยาศัยส่วนตัวของพระองค์เป็นคนรักเด็กอยู่แล้ว พระองค์จึงทรงเป็นห่วงพวกเด็กๆ และไม่อยากให้พวกเด็กๆ เป็นคนไม่ดี ดังนั้น ทันทีที่พระองค์เห็นพวกเด็กๆ กำลังทะเลาะกัน และเตรียมที่จะใช้ความรุนแรงต่อกัน พระองค์จึงต้องรีบเข้าไปห้ามเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้รับทราบความจริงจากใจของพระราชโอรสแล้วท่านมหาเสนาบดีจึงรู้สึก ตื้นตันใจและทรงเลื่อมใสในพระราชโอรสเป็นอย่างยิ่งเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้รับทราบความจริงจากใจของพระราชโอรสแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงรู้สึก ตื้นตันใจและทรงเลื่อมใสในพระราชโอรสเป็นอย่างยิ่งว่า แท้ที่จริงแล้ว พระราชโอรสไม่ได้เป็นคนที่ติดในยศถาบรรดาศักดิ์ หรือ ถือพระองค์ว่าสูงศักดิ์แต่อย่างใดเลย อีกทั้ง พระองค์ยังทรงรักและมีความห่วงใยในประชาชนของพระองค์ด้วยดวงใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงอีกด้วยหลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านก็ได้รับคำสั่งด่วนพิเศษให้ไปประจำการอยู่ที่หน่วยทหารในหัวเมืองแห่งหนึ่งในทันทีหลังจากงานเทศกาลฉลองประจำปีในเมืองของท่านมหาเสนาบดีผ่านพ้นไป กอปรกับช่วงเวลาแห่งการปิดภาคเรียนได้หมดลงแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงได้กลับไปศึกษาเล่าเรียนวิชาการทหาร หลักสูตรภาคพิเศษ ต่อ จนกระทั่ง ตัวท่านได้สำเร็จการศึกษาวิชาทหารซึ่งหลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านก็ได้รับคำสั่งด่วนพิเศษให้ไปประจำการอยู่ที่หน่วยทหารในหัวเมืองแห่งหนึ่งในทันที ทำไม ท่านมหาเสนาบดีจะต้องไปประจำการอยู่ที่หัวเมืองแห่งนั้น แล้วทำไม ส่วนกลางจะต้องเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นท่านมหาเสนาบดีด้วย เรื่องนี้ต้องมีเหตุส่วนว่าเหตุนั้น เป็นอย่างไรเราก็คงจะต้องมาติดตามกันในตอนต่อไป
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)
บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
"วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)
http://goo.gl/bmGzC