ชาดก 500 ชาติ
อสัมปทานชาดก-ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต แล้วจึงทรงตรัส
พระธรรมเทศนาดังนี้ ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรม เรื่องพระเทวทัตเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณของพระตถาคตพระศาสดาทรงตรัสพระธรรมเทศนาแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ ณ ธรรมสภา“ พระเทวทัตนี่ใช้ไม่ได้จริง ๆ ขนาดพระศาสดาทรงอุปสมบทให้ยังเนรคุณพระองค์ได้ ” “ นั่นสิ แถมยังทำลายพระศาสนาอีก แย่จริง ๆ
คนอะไรไม่รู้สำนึกซะบ้าง ” พระศาสดาเสด็จมาถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างตั้งพากันตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญู แม้ในครั้งก่อน
ก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน ” พระศาสดาตรัสกับภิกษุทั้งหลายแล้วจึงทรงเอาเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล
พระโพธิสัตย์เสวยพระชาติเป็นเศรษฐีนามว่า สังขะครั้งพระราชามคธพระองค์หนึ่ง เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์แคว้นมคธ พระโพธิสัตย์เสวยพระชาติเป็นเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ
นามว่าสังขเศรษฐี สังขเศรษฐีมีสหายในพระนครพาราณสี เป็นเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฎิ นามว่า ปิลิยเศรษฐี ครั้งนั้นปิลิยเศรษฐี
สังขเศรษฐีและปิลิยเศรษฐีแห่งนครพาราณสีผู้เป็นสหายในนครพาราณสีประสบปัญหาการค้าขายขาดทุนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นคนขัดสนไร้ซึ่งที่พำนัก “ โธ่ ทรัพย์สินเงินทอง
ข้าทาสบริวารตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว ” “ ทำยังไงดีล่ะท่านพี่ ข้าไม่ยอมเป็นคนจนหรอกนะ ” ปิลิยเศรษฐีนึกถึงสังขเศรษฐีสังขเศรษฐีผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แห่งนครราชคฤห์แคว้นมคธผู้เป็นสหายก็คิดจะขอความช่วยเหลือ จึงชวนภรรยาออกจากพระนครพาราณสีมุ่งไปสู่พระนครราชคฤห์ด้วยเท้าเปล่าจนถึงนิเวศน์ของท่าน
สังขเศรษฐี “ ถึงซะที ข้าเท้าบวมไปหมดแล้ว ” “ เดี๋ยวเราก็สบายแล้ว สหายเราเป็นคนดี คงต้องช่วยเหลือเราแน่ ๆ ”ปิลิยเศรษฐีประสบปัญหาการค้าถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวท่านสังขเศรษฐีเห็นสหายเดินทางมาหาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี และให้พักอยู่ในเรือนของตน “ สหายท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใดรึ ”
“ เพื่อนเอ๋ย ต้อนนี้ข้ากำลังลำบาก การค้าขาดทุนถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ท่านโปรดช่วยเหลือข้าด้วยเถิด ” ฝ่ายสังขเศรษฐีเมื่อรู้ว่าสหาย
ปิลิยเศรษฐีเดินทางมาขอความช่วยเหลือจากสหายยังเมืองราชคฤห์ตกทุกข์ได้ยากก็ให้การช่วยเหลือโดยแบ่งเงินของตนให้ ๔๐ โกฎิ แล้วยังแบ่งสมบัติทั้งหลายที่ตนมี ทั้งข้าทาสบริวารให้แก่ปิลิยเศรษฐีครึ่งหนึ่ง
“ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ข้าจะแบ่งเงินให้ท่าน ๔๐ โกฎิ และสมบัติทั้งหลายที่ข้ามีให้ท่านครึ่งหนึ่งไว้ให้ท่านได้ใช้ตั้งตัว ”
ปิลิยเศรษฐีเดินทางมาพบกับสังขเศรษฐีสหายของตน“ ขอบใจท่านมาก ชาตินี้ข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่านเลย ” “ ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก เราเป็นสหายกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันในยามเดือดร้อน ”เมื่อสังขเศรษฐีแบ่งทรัพย์สินให้แล้ว ปิลิยเศรษฐีขนสมบัติพร้อมด้วยข้าทาสบริวารกลับไปพระนครพาราณสีจนตั้งหลักฐานได้
สังขเศรษฐีได้ต้อนรับปิลิยเศรษฐีสหายของตนเป็นอย่างดี“ ฮะ ฮ่า ฮ่าฮ่า ดูสิ เรากลับมาร่ำรวยเหมือนเดิมแล้วน้องหญิง ” “ ดีแล้วล่ะค่ะท่านพี่ ข้าล่ะรังเกียจความจนเหลือเกิน ไปไหนมาไหน
ก็อายชาวบ้านเขาไปหมด ” ในเวลาต่อมาฝ่ายสังขเศรษฐีก็เกิดปัญหาในการค้าขายจนหมดสิ้นทรัพย์สินเช่นเดียวกับปิลิยเศรษฐีสังขเศรษฐีได้มอบข้าทาสบริวารของตนให้กับปิลิยเศรษฐีไปครึ่งหนึ่ง“ ท่านพี่ตอนนี้เราไม่มีเงินทองแล้ว แม้แต่ข้าวจะกินก็ยังไม่มี เราจะทำยังไงดี ” “ เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย เราเคยช่วยเหลือปิลิยเศรษฐีไว้
หากเราไปขอให้เขาช่วย เขาก็คงไม่ปฏิเสธเป็นแน่ ” สังขเศรษฐีคิดได้ว่าตนเคยช่วยเหลือปิลิยเศรษฐีไว้ หากไปขอความช่วยเหลือ
สังขเศรษฐีได้แบ่งเงินและทรัพย์สมบัติของตนครึ่งหนึ่งให้กับปิลิยเศรษฐีผู้เป็นสหายคงช่วยเหลือตนอย่างเต็มที่ ดังนี้แล้วจึงพาภรรยาเดินทางไปยังนครพาราณสีด้วยเท้าเปล่า “ น้องหญิง เราเดินทางไป
ขอความช่วยเหลือจากปิลิยเศรษฐีที่เมืองพาราณสีกันเถอะ ” “ ท่านพี่จะไปไหนน้องก็ขอตามไปด้วย ” เมื่อมาถึงเมืองพาราณสี
ปิลิยเศรษฐีกลับมาตั้งตัวและร่ำรวยได้อีกครั้งภรรยาสังขเศรษฐีคอยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งส่วนตนนั้นจะไปยังบ้านของปิลิยเศรษฐีก่อนแล้วจะกลับมารับนางในภายหลัง “ น้องหญิงรอพี่ที่นี่ก่อน
พอปิลิยะเศรษฐีให้เงินและข้าทาสบริวารแก่พี่แล้ว พี่จะส่งรถมารับเจ้าในภายหลัง ” “ ขอให้สหายของท่านนึกถึงบุญคุณที่เราเคยช่วยเหลือเขาด้วยเถิด ”
สังขเศรษฐีเกิดปัญหาทางการค้าจนทรัพย์สินที่มีอยู่หมดไม่มีเหลือสังขเศรษฐีมาถึงบ้านของปิลิยเศรษฐีแล้วก็ให้คนไปบอกเศรษฐีผู้เป็นสหายว่าตนมาหา “ นายท่านสังขเศรษฐีจากเมืองราชคฤห์มาขอพบขอรับ ”
“ สังขเศรษฐีมาหาเราทำไมกัน หรือว่าจะมาขอเงินคืนจากเรา ” เมื่อให้คนเชิญสังขเศรษฐีเข้ามาในบ้านแล้ว ปิลิยเศรษฐีก็ไม่ได้ลุกจากที่นั่งไปทักทาย
สังขเศรษฐีและภรรยาได้เดินทางมายังเมืองพาราณสีด้วยเท้าเปล่าเพียงแค่เอ่ยถามสหายเก่าว่ามาหาตนทำไม “ ท่านมาหาข้าทำไมกัน ” “ ข้ามาเพื่อขอพบท่าน ” “แล้วนี่ท่านพักที่ไหนล่ะ ” “ ข้ายังไม่มีที่พักหรอกตอนนี้ภรรยาของข้าก็รอข้าอยู่ที่ศาลาข้างนอก ” ปิลิยเศรษฐีรู้ว่าสหายผู้มาจากเมืองราชคฤห์ต้องการความช่วยเหลือ แต่แทนที่จะให้ทรัพย์สินเงินทอง
สังขเศรษฐีให้ภรรยารออยู่นอกเมืองส่วนตนเดินทางไปยังบ้านของปิลิยเศรษฐีผู้เป็นสหายและข้าทาสบริวารเหมือนที่ตนเคยได้รับการช่วยเหลือจากสหาย ปิลิยเศรษฐีกลับสั่งให้ทาสตวงข้าวลีบ ๔ ทนานห่อชายผ้าผู้เป็นสหาย
แล้วออกปากไล่ไป “ เฮ้ย ข้ากำลังยุ่ง ท่านรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้ทาสไปเอาข้าวมาให้จงรับไปหุงต้มกินเองเถิด ” “ เจ้าทาสจงไป
สังขเศรษฐีได้เดินทางมาถึงบ้านของปิลิยเศรษฐีผู้เป็นสหายตวงข้าวลีบ ๔ ทนาน ห่อชายผ้าสหายของเราให้ไปเถิด ” “ สหายเราทำกับกับเราเช่นนี้ เสียแรงที่เคยช่วยเหลือจริง ๆ ” ได้ยินว่าวันนั้น
ปิลิยเศรษฐีให้คนผัดข้าวสาลีสีแดงไว้ประมาณพันเกวียนขึ้นยุ้งไว้เต็ม ทั้งที่ได้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิมา ยังเนรคุณผู้เป็นสหายทาสในเรือนได้มาแจ้งปิลิยเศรษฐีว่าสหายของตนมาเยี่ยมยังที่บ้านฝ่ายสังขเศรษฐีเมื่อเห็นทาสตวงข้าวลีบ ๔ ทนานมาให้ ก็คิดจะรับหรือไม่รับข้าวนั้นดี หากไม่รับก็จะเป็นการทำลายมิตรภาพที่ยังเหลืออยู่
จึงตัดสินใจรับข้าวนั้นห่อชายผ้าแล้วออกจากบ้านปิลิยเศรษฐี " หากเราไม่รับข้าวนี้ก็ถือว่าเราทำลายมิตรภาพที่เหลืออยู่
ปิลิยเศรษฐีไม่ได้ลุกขึ้นไปต้อนรับสหายของตนตามที่ควรจะเป็นถ้าเช่นนั้นเราก็จะรับข้าวนี้ไว้ " เมื่อสังขเศรษฐีรับข้าวลีบ ๔ ทะนานนั้นมาแล้วก็กลับมาหาภรรยาตนที่ศาลา ครั้นภรรยาเห็นผู้เป็นสามีไม่ได้กลับมา
พร้อมเงินทองและข้าทาสบริวารดังที่ตั้งใจไว้ก็รู้สึกแปลกใจ “ ท่านพี่ สหายท่านยินดีช่วยเหลือเราหรือเปล่า ” “ ปิลิยเศรษฐีผู้นี้เป็นผู้ไม่รู้บุญคุณคน
สังขเศรษฐีได้รับการปฏิเสธการช่วยเหลือจากสหายปิลิยเศรษฐีเขาให้ข้าวลีบพี่มา ๔ ทะนานเท่านั้น ” “ ท่านพี่รับมาทำไม มันสมควรกับทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ที่เราเคยให้เขาแล้วหรือ ” “ เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย
หากไม่รับข้าวลีบนี้ เราก็จะเสียไมตรีกับเขา พี่จึงรับไว้ เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไปอีกเลย ” ในขณะที่เศรษฐีกำลังปลอบใจภรรยาอยู่นั้น
สังขเศรษฐีตัดสินใจรับข้าวลีบ ๔ ทะนานจากปิลิยเศรษฐีผู้เป็นสหายทาสผู้หนึ่งที่สังขเศรษฐีมอบให้ปิลิยเศรษฐีผ่านมาเห็นเจ้านายเก่าก็เข้ามาทำความเคารพ “ นายท่าน นายท่านจริง ๆ ด้วย ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ”
“ เจ้านั่นเอง เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ทีนี่สบายดีรึ ” “ สบายดีขอรับ ว่าแต่นายท่านและนายหญิงมาทำอะไรที่นี่ขอรับ ” เมื่อทาสผู้นี้ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
สังขเศรษฐีได้กลับมาหาภรรยาของตนพร้อมกับข้าวลีบ ๔ ทะนานก็ปลอบใจท่านเศรษฐี แล้วพานายเก่าทั้งสองไปยังบ้านของตน ให้อาบน้ำหอม ให้บริโภคอาหารแล้วเรียกทาสทั้งหลายที่เหลือมาประชุมกัน
“ เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่ข้าเล่านี้แหละ ปิลิยเศรษฐีเป็นคนเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณคน ” “ ปิลิยเศรษฐีคนเนรคุณ ดูสิทำกับเจ้านายเราได้ ”
ทาสคนหนึ่งที่สังขเศรษฐีมอบให้ปิลิยเศรษฐีได้ผ่านมาเห็นเจ้านายเก่าของตน“ คนเลวแบบนี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ” วันต่อมาพวกทาสทั้งหลายก็พากันไปยังท้องพระลานหลวง แล้วร้องตะโกนโพนทะนาเรื่องความเนรคุณของปิลิยเศรษฐี
“ ปิลิยเศรษฐีคนเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณคน ” “ ตอนตัวเองเดือดร้อนสหายก็ให้การช่วยเหลือ แต่พอสหายเดือดร้อนบ้างกลับผลักไสไล่ส่ง ”
สังขเศรษฐีได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของตนให้ข้าทาสเก่าได้ฟัง“ ปิลิยเศรษฐีคนเนรคุณ ” พระราชาทรงผ่านมาได้ยิน จึงรับสั่งให้เรียกมาตรัสถาม เมื่อทรงทราบเรื่องแล้วจึงสั่งให้เรียกเศรษฐีทั้งสองมาเข้าเฝ้า
“ ท่านสังขเศรษฐีได้ยินว่าท่านให้ทรัพย์ ๔๐ โกฏิแก่ปิลิยเศรษฐีจริงรึ ” “ จริงพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ยังแบ่งสมบัติทั้งหมดให้อีกครึ่งหนึ่งด้วย ”
ข้าทาสเก่าของสังขเศรษฐีได้มาประชุมกันเพื่อต้องการช่วยเหลือเจ้านายของตน“ เป็นความจริงรึท่านปิลิยเศรษฐี ” “ เออ คือเรื่องนั้นเป็นความจริงพระเจ้าค่ะ ” “ แล้วตอนนี้สังขเศรษฐีมาขอความช่วยเหลือจากท่าน
ท่านได้ช่วยเหลืออะไรเขาบ้างล่ะ ” “ เออ เออ ” “ อีกอย่างเจ้าได้ให้ทาสตวงข้าวลีบ ๔ ทะนานใส่ชายผ้าให้เขาไปจริงรึ ” “ เออ ”
ข้าทาสเก่าได้พากันโพนทะนาถึงการกระทำของปิลิยเศรษฐีที่หน้าท้องพระลานหลวงปิลิยเศรษฐีแม้ได้ฟังดำรัสนั้นก็คงนิ่งอึ้งอยู่ พระราชาเห็นดังนั้นจังรับสั่งให้ราชบุตรทั้งหลายเอาสมบัติทั้งหมดในเรือนปิลิยเศรษฐีให้แก่สังขเศรษฐี
“ พวกเจ้าจงไปเอาสมบัติที่มีทั้งหมดในบ้านของปิลิยเศรษฐีให้แก่สังขเศรษฐี ” “ ซวยแล้ว หมดตัวอีกรอบแล้วสิเรา ” “ ข้าพระองค์ไม่ต้องการ
พระราชาทรงเรียกเศรษฐีทั้งสองไปสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นสิ่งของของผู้อื่น ขอทรงพระราชทานส่วนที่ข้าพระองค์ให้แก่เขาเท่านั้นเถิดพระเจ้าค่ะ ” เมื่อสังขเศรษฐีทูลขอดังนั้นพระราชาจึงรับสั่ง
ให้พระราชทานสมบัติรวมทั้งข้าทาสบริวารอันเป็นส่วนของสังขเศรษฐีคืนให้ สังขเศรษฐีได้รับสมบัติส่วนของตนคืนทั้งหมดแล้วพร้อมด้วยสังขเศรษฐีได้เดินทางกลับนครราชคฤห์พร้อมด้วยเงินและข้าทาสบริวารในส่วนที่เป็นของตนข้าทาสบริวารทั้งหลายกลับไปสู่นครราชคฤห์ก็สามารถตั้งหลักฐานได้ดังเดิม พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่าปิลิยเศรษฐีในครั้งนั้น กำเนิดเป็น พระเทวทัต
สังขเศรษฐี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
สังขเศรษฐีได้ช่วยเหลือสหายของตนนามว่าปิลิยเศรษฐี โดยแบ่งเงินของตนให้ ๔๐ โกฎิ แล้วยังแบ่งสมบัติทั้งหลายที่ตนมี ทั้งข้าทาสบริวารให้แก่ปิลิยเศรษฐีครึ่งหนึ่งในครั้งที่เพื่อนของตนเดือดร้อน แต่ในยามที่สังขเศรษฐีลำบาก ปิลิยเศรษฐีกลับเมินเฉยไม่ยอมช่วยเหลือใดๆ https://dmc.tv/a28705
บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ[ 17 ม.ค. 2566 ] - [ ผู้อ่าน : 18269 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งเกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ