ชาดก 500 ชาติ
ขันติวัณณชาดก ชาดกว่าด้วยต้องอดใจในคนที่หาคุณธรรมยาก
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จมาเข้าเฝ้า ในครานั้นองค์พระศาสดาได้ทรงปรารภถึงอำมาตย์ผู้หนึ่งที่ลอบเป็นชู้กับนางสนมของ
พระเจ้าปเสนทิโกศล “ได้ยินว่าอำมาตย์ของท่านผู้หนึ่งซึ่งทำคุณประโยชน์ให้แก่ท่าน ได้ลอบเป็นชู้กับนางสนม เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”อำมาตย์กับนางสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลักลอบมีความสัมพันธ์ต่อกันพระเจ้าปเสนทิโกศลเมื่อหวนนึกถึงคนทั้งสองก็ทั้งโทมนัสและพิโรธในคราวเดียวกัน แต่ก็ทรงสู้สะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้และกราบทูลต่อองค์พระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ นั่นเป็นความจริงแท้เมื่อแรกที่หม่อมฉันทราบเรื่องก็มีความคิดว่า หม่อมฉันก็จะกลั้นและนิ่งไว้เสียราวกับไม่มีเรื่องใดบังเกิดขึ้น เนื่องด้วยบุรุษผู้นั้นได้ช่วยเหลือและทำคุณกับหม่อมฉันมาก่อนนั้นเอง”พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงโทมนัสยิ่งนักเมื่อนึกถึงอำมาตย์ที่ตนรักและไว้ใจสมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อได้สดับคำกราบทูลของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงตรัสขึ้นว่า “มหาบพิตร แม้แต่ในอดีตกาลก็มีพระราชาที่ทรงกระทำการอดกลั้นอย่างนั้นเช่นกัน” เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกราบทูลอาราธนาขอให้องค์พระศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตกาลนั้นแม้ครั้งในอดีตกาลก็มีเหตุการที่นางสนมและอำมาตย์ลักลอบมีความสัมพันธ์กันด้วยเช่นกันครั้นแล้วพระสัมมา สัมพุทธเจ้าจึงทรงยกเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากล่าวสาธกดังนี้ ในอดีตกาลมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ ณ กรุงพาราณสี ครั้งนั้นมีอำมาตย์ซึ่งเป็นที่โปรดปรานผู้หนึ่งได้กระทำการล่วงเกินเบื้องสูงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณโดยการลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระองค์ “พระสนม ยอดรักของข้า ท่านมาแล้วรึ ข้ามารอท่านอยู่นานแล้ว คืนนี้เหตุใดท่านถึงได้มาช้านักเล่าที่รัก” “โธ่ๆๆ ท่านอำมาตย์ วันนี้มีนางสนมในตำหนักเดียวกันมาซักถามข้าอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าข้าจะหาเรื่องหลบออกมาได้ ก็นานโขอยู่นะ ท่านหน่ะ อย่าเคืองข้าเลยนะท่านอำมาตย์”นางสนมได้ลักลอบเป็นชู้กับอำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าพรหมทัต“โธๆๆๆ พระสนมที่รักของข้า ข้าหรือจะกล้าเคืองท่าน เพียงแต่ข้ากระวนกระวายใจเพราะคิดถึงท่านต่างหากเล่า” “แหม ท่านเนี่ย นอกจากจะเก่งงานราชการแล้วนะ ยังปากหวานอีกแน่ะ”“ก็ข้าหน่ะรักท่าน หลงใหลท่านท่านจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วนี่นา” “คนบ้า ปากหวานที่สุดเลย”ทหารนำข่าวการลักลอบมีความสัมพันธ์ของนางสนมกับอำมาตย์มาแจ้งกับพระเจ้าพรหมทัตถึงแม้จะพยามยามปกปิดเป็นความลับสักเพียงใด แต่เรื่องราวความสัมพันธ์อันไม่สมควรนี้ ก็เล็ดลอดถึงพระกรรณของพระเจ้าพรหมทัตในที่สุดแต่ถึงอย่างนั้น พระเจ้าพรหมทัตก็มิได้ปลงพระทัยเชื่อในทันที “ข้าแต่พระองค์ ขณะนี้ได้มีข่าวลือว่า อำมาตย์ผู้หนึ่งได้ทำการลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระองค์พระเจ้าข้า”นายทหารได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของอำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนม“เราเป็นกษัตริย์จะให้หูเบาเชื่อข่าวลือง่ายๆ ได้อย่างไร แต่เอาล่ะ ในเมื่อมีข่าวลือที่ไม่เหมาะไม่ควรออกมาเช่นนี้ ท่านก็จงไปสืบเรื่องนี้มาให้แจ้ง ได้เรื่องมาอย่างไร ก็นำความมาบอกแก่เราโดยเร็วที่สุดเถิด” “พระเจ้าข้า” อำมาตย์ผู้รับพระบัญชาได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของอำมาตย์และนางสนมผู้ตกเป็นข่าวนั้นอย่างลับๆอำมาตย์กับนางสนมยังคงลักลอบพบกันตามปกติอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งไม่นานหลังจากนั้นเค้าก็ได้ประจักษ์ความจริงด้วยตาตนเอง “เอ้ นั้นมันท่านอำมาตย์ที่พระราชาสั่งให้เราติดตามนี่น่า มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้นะหรือว่า เอาล่ะต้องไปดูให้เห็นกับตา ” “พระสนมของข้า ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่า ท่านงดงามยิ่งนัก มา ให้ข้าได้กอดให้หายคิดถึงสักหน่อยเถิด” “อุ๊ย ท่านหน่ะ ใจร้อนจริงเชียวน่ะเริ่มมีผู้คนแอบพูดกระซิบกระซาบเรื่องความสัมพันธ์ของอำมาตย์กับนางสนมท่านอำมาตย์หากมีใครมาเห็นเราสองคนเข้า จะนำไปกราบทูลพระราชาได้นะ ตอนนี้ยิ่งมีข่าวลือถึงเรื่องของเราอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าใคร เอาไปพูดกันเชียว” “เราเปลี่ยนที่นัดพบกันใหม่แล้วนี่นาที่นี่อยู่ห่างไกลผู้คนนัก คงไม่มีใครเห็นเราหรอกที่รัก ขอข้ากอดหน่อยเถิด ข้าอยากจะกอดท่านไว้อย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากจะห่างท่านไปไหนเลยทีเดียว” “แหม ท่านอำมาตย์เนี่ย” “ข่าวลือนี่เป็นจริงรึเนี่ย ช่างบัดสีนัก”นายทหารได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของอำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนมจนได้ประจักษ์ต่อสายตาว่าเป็นความจริงเมื่อได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง อำมาตย์ผู้รับพระบัญชาจึงนำความไปกราบทูลต่อพระเจ้าพรหมทัต “ข้าแต่พระองค์ เรื่องที่พระองค์ให้หม่อมฉันไปสืบหาความจริงนั้น บัดนี้ได้ความเป็นที่แน่ชัดแล้ว ว่าอำมาตย์ผู้นั้นลักลอบมีความสัมพันธ์กับพระสนมจริงๆ พระเจ้าค่ะ” “เรื่องนี้นับเป็นเรื่องร้ายแรงนัก เหตุใดเจ้าจึงแน่ใจเช่นนั้น” “เพราะหม่อมฉันได้เห็นเหตุอันไม่บังควรนี้ด้วยตาของหม่อมฉันเองพระเจ้าข้า”
นายทหารได้มารายงานเรื่องของอำมาตย์และนางสนมว่ามีความสัมพันธ์กันจริงต่อพระเจ้าพรหมทัตจากนั้นอำมาตย์ผู้รับบัญชาจึงได้กราบทูลต่อพระเจ้าพรหมทัตถึงสิ่งที่ตัวเองได้ประสบมา พระเจ้าพรหมทัตเมื่อได้ทราบความจริงดังนี้แล้วก็ทั้งพิโรธและโทมนัสยิ่งนัก คิดใคร่จะให้จับอำมาตย์และนางสนมมาลงอาญาให้สาสมกับที่กระทำการหลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ แต่ด้วยพระสติสัมปชัญญะอันหนักแน่น ทำให้ชั่วครู่หลังจากนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ทรงระงับอารมณ์พิโรธในพระทัยได้ แล้วทรงครุ่นคิดถึงวิธีที่จะแก้ไขหาทางออกกับเรื่องนี้อยู่ด้วยความกังวลพระทัยพระเจ้าพรหมทัตทรงพิโรธและโทมนัสยิ่งนักกับข่าวที่ได้รับ“ช่างบังอาจนัก อำมาตย์ที่เรารักและไว้ใจกับนางสนมแห่งเรา เหตุใดจึงกล้ากระทำการอันหยามเกียรติเราได้เช่นนี้ อืม..มันน่าจับมาประหารเสียทั้งอำมาตย์ชั่วและก็สนมเลว แต่จะว่าไปแล้วอำมาตย์ผู้นั้นก็ขยันขันแข็ง เป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง แล้วยังเคยทำคุณประโยชน์แก่ราชสำนักมาก็ไม่น้อย เฮ้อ...จะจัดการยังไงดี”อำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนมนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถและสร้างคุณความดีต่อบ้านเมืองไว้มากในที่สุดแล้วแม้จะพิโรธและเสียพระทัยอย่างหนัก แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าพรหมทัตจึงตัดสินใจที่จะละเว้นโทษแก่อำมาตย์และพระสนม “เอาล่ะ เราขอขอบใจท่านมาก ที่นำความจริงนี้มาบอกแก่เรา แต่เมื่อเห็นในคุณงามคุณงามความดีในอดีตของอำมาตย์ผู้นั้นเราจะไม่เอาโทษหญิงชายคู่นั้น เราจะถือเสียว่ามิได้รู้มิได้เห็น มิได้ยินเรื่องบัดสีเช่นนี้มาก็แล้วกัน”เหล่าทหารก็ต่างสรรเสริญในความเมตตาของพระเจ้าพรหมทัต“โอ้ พระองค์ ทรงเปี่ยมด้วยขันติธรรม และพระเมตตาอันอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน หญิงชายคู่นั้นน่ะ จะรู้สึกบ้างไหมว่าพวกเขาได้กระทำชั่วช้าเหลือเกิน” “ช่างเขาเถิด” “โธ่ พระราชาแห่งข้าทรงเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ” ฝ่ายอำมาตย์ผู้ลักลอบคบชู้กับพระสนมนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวความลับของตน ก็นึกลิงโลดอยู่ในใจและยังคงกระทำการอันไม่สมควรนั้นอยู่เนืองๆจนกระทั่งวันหนึ่ง
อำมาตย์ผู้ลบหลู่เกียรติพระราชาทำงานเสร็จก่อนเวลาแล้วก็รีบกลับบ้านของตน
“ฮ้า วันนี้เสร็จงานเร็วกว่าที่คิด รีบกลับบ้านก่อนเวลาดีกว่า อาบน้ำให้สดชื่นแล้วค่อยแอบออกมาพบพระสนมที่เดิม ว่าแล้วก็คิดถึงจริงๆ คิดถึ้งคิดถึง” และการกลับบ้านก่อนเวลาในครั้งนี้ก็เป็นเหตุให้อำมาตย์ที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติแห่งองค์ราชาได้รับรู้และสำนึกถึงเวรกรรมเป็นครั้งแรก “เฮ้อ ถึงบ้านเสีย เอ๊ะ ทำไมบ้านถึงเงียบอย่างนี้ ประตูหน้าบ้านก็ปิดเมียเราออกไปไหนหว่าอำมาตย์สงสัยยิ่งนักว่าทำไมบ้านของตนถึงเงียบผิดปกติแต่เอ๊ะ นั่นเสียงเมียเรานี่น่า กำลังพูดกับใครกัน ทำไมต้องปิดประตู ปิดหน้าต่างมิดชิดอย่างนี้ เอ้ เมียเรามีอะไรเป็นความลับนักหนา ลองแอบฟังดูดีกว่า” “ที่รักจ๋า แน่ใจหรือจ๊ะ ว่าวันนี้นายท่านจะกลับดึกจริงๆ” “จริงซิพี่ ท่านอำมาตย์บอกข้าเอง ว่าวันนี้กว่าจะกลับก็เกือบเช้าแหละ” “โธๆๆไม่เป็นไร มีพี่อยู่ทั้งคนน้องไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ มาม่ะ พี่จะกอดให้หายเหงาน่ะ โอ๋ๆๆ” “เฮ้ย นั้นมันเมียเรากับไอ้คนรับใช้ในเรือนที่เรารัก แล้วไว้ใจที่สุดนี่ ห๊ะ มาแอบเล่นชู้กันตอนเราไม่อยู่หรือนี่ เฮ้ย”
อำมาตย์ได้เห็นภาพภรรยาของตนเป็นชู้รักกับคนรับใช้ภายในบ้านด้วยความโกรธแค้นที่ถูกภรรยาและคนรับใช้ทรยศ อำมาตย์ถลันเข้ามาในห้องทันที “นังเมียชั่ว ไอ้ขี้ข้าเลว พวกแกกล้าทรยศข้าเรอะ” “ว๊าย พี่อำมาตย์” “เฮ้ย ท่านอำมาตย์ แย่แล้วเราหนีดีกว่า” “เฮ้ย มีใครอยู่แถวนี้บ้างจับตัวไอ้คนชั่วกับเมียทรยศของข้าไว้เดี๋ยวนี้ แล้วมัดไว้ให้แน่น อย่าให้มันหนีไปได้” “เฮ้ย พวกเรา จับไว้ๆๆ”อำมาตย์จับภรรยาและคนรับใช้ของตนมัดอย่างหนาแน่นเพื่อรอการลงโทษภรรยาและคนรับใช้ของอำมาตย์ซึ่งถูกจับมัดจนแน่น เมื่อได้เห็นท่าทางโกรธแค้นของอำมาตย์ต่างก็เข้ามาเกาะขาอ้อนวอนร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัว “พี่อำมาตย์จ๋า ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ พวกเราผิดไปแล้วจ๊ะพี่ ฮือๆๆๆ” “นายท่าน ได้โปรดเห็นแก้ข้ารับใช้เก่าแก่คนนี้ด้วยเถิด ได้โปรดเถิดนายท่าน” “อืม เจ้าน่ะ เป็นเมียรักของข้า ส่วนเจ้าก็เป็นคนรับใช้ที่ขยันขันแข็งและคอยช่วยเหลือการงานข้ามาตลอดอำมาตย์คิดหาวิธีที่จะลงโทษภรรยาและคนรับใช้ของตนเหตุใดพวกเจ้าจึงทรยศข้าเจ็บแสบนัก แต่ถ้าข้าจะข้าพวกเจ้าทิ้งตอนนี้ ก็คงไม่พ้นคนนินทาว่าโหดเหี้ยม เอาหล่ะ ข้าจะนำตัวพวกเจ้าไปให้องค์ราชาลงโทษ ไป๊ เอาตัวไป๊” ในที่สุดภรรยาของอำมาตย์และคนรับใช้ผู้เป็นชายชู้ก็ถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง เพื่อให้พระเจ้าพรหมทัตตัดสินโทษ “เกิดเรื่องอะไรกันรึท่านอำมาตย์ ท่านรีบร้อนนำชายผู้นี้มาให้เราด้วยเหตุอันใดกัน”อำมาตย์นำภรรยาและคนรับใช้ของตนมาเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อให้พระองค์ทรงตัดสินลงอาญา“ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ ข้าพระพุทธเจ้า มีบุรุษผู้คอยช่วยเหลือการงานอยู่คนหนึ่ง แต่เขามีความผิดข้อหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอใคร่กราบทูลถาม ว่าพระองค์จะทรงตัดสินให้ลงอาญาแก่พวกเขาเป็นประการใดดี จึงจะสาสมกับความผิดพระเจ้าค่ะ” พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงได้เห็นหญิงชายที่ทรงหมอบอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์กับทั้งทรงได้ยินอำมาตย์กล่าวดังนี้ ก็ทรงแจ้งถึงความผิดของคนทั้งสอง และทรงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะสอนอำมาตย์คนนี้เช่นกัน จึงทรงรับสั่งขึ้นว่าพระเจ้าพรหมทัตทรงเข้าใจเหตุการณ์ของคนทั้งสองและได้ทรงเล่าเหตุการณ์ที่พระองค์เจอให้อำมาตย์ได้คิด“ดูก่อนท่านอำมาตย์ บุรุษที่ท่านกล่าวมานี้ ในพระราชวังของเราและที่แห่งนี้ก็มีอยู่หนึ่งคน แต่เขามีคุณงามความดีที่หาได้อยาก เราผู้เป็นพระราชาแม้จะรู้ว่าเขาทำผิดแต่ก็ต้องสู้ข่มใจเสียไม่เอาโทษแก่พวกเขา” อำมาตย์ได้ฟังดังนั้น ก็นึกสะดุ้งอยู่ในใจ และรู้ทันทีว่าบุรุษที่พระราชากล่าวถึงนั้นหมายถึงตน (“อะไรกันเนี่ยองค์ราชาทรงหมายถึงเราแน่ๆ แต่ทั้งๆ ที่ทรงรู้เรื่องของเรามาตลอด ก็ยังไม่ทรงเอาโทษเราหรือนี่ โธ่เอ๋ย เรานี่ช่างชั่วช้าจริงๆอำมาตย์ได้สำนึกในความผิดของตนและตั้งใจจะไม่ทำเรื่องที่เลวร้ายต่อไปอีกจากนี่ไป เราจะสื่อสัตย์ต่อพระองค์ จะตั้งใจปฏิบัติงานราชการ และจะไม่แอบไปพบพระสนมอีกเป็นอันขาด”) ในขณะที่ชายคนรับใช้ของอำมาตย์ซึ่งรอดพ้นจากการถูกลงโทษก็เกิดสำนึกได้ถึงความผิดของตนได้เช่นกัน “โอ้ องค์ราชาผู้ประเสริฐ แม้จะทรงตำหนิเรา แต่ก็ยังคงเมตตาไม่ลงโทษ ท่านอำมาตย์นายเรา ก็ดีกับเรามาตลอดโอ้ เรานี่มันเลวทรามจริงๆ ต่อจากนี้ไป เราจะไม่ทรยศความรัก ความไว้ใจที่นายมีให้เราอีกแล้ว”
ภายหลังจากสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ไม่นานต่อมาเมื่ออำมาตย์ผู้ลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็รู้ว่าพระราชาทรงนำเรื่องของตนไปกราบทูลพระราชา ตั้งแต่นั้นเขาก็เกิดความละอายและไม่กล้าทำกรรมนั้นอีกเลยในครั้งนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงประชุมชาดกว่าพระเจ้าพรหมทัต พระราชาพาราณสีในครั้งนั้นคือเราตถาคตนี้เอง
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-20258.png)