สุวรรณสามชาดก ชาดกว่าด้วยผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี

ข้าพเจ้าเป็นบุตรฤาษี ชื่อว่าสุวรรณสาม บัดนี้บาดเจ็บสาหัสต้องตายด้วยคมศรของท่าน ทุกข์อันสาหัสนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดในโลก ข้าพเจ้าจึงไม่ได้โกรธเคืองท่าน สงสารแต่บิดามารดาผู้ตาบอด ซึ่งมีเพียงข้าพเจ้าเท่านั้นที่ดูแล เมื่อขาดอาหารและน้ำ ท่านทั้งสองก็คงต้องตายตาม ทุกข์ที่พลัดพรากจากบิดามารดาผู้ไร้คนดูแลนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ที่จะต้องตายด้วยคมศรนี้หลายเท่านัก https://dmc.tv/a27174

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 29 มิ.ย. 2564 ] - [ ผู้อ่าน : 18293 ]

ชาดก 500 ชาติ

สุวรรณสามชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี

ลูกชายของเศรษฐีครอบครัวหนึ่งในนครสาวัตถีได้ออกบวชเป็นพระภิกษุ

ลูกชายของเศรษฐีครอบครัวหนึ่งในนครสาวัตถีได้ออกบวชเป็นพระภิกษุ
  
       ในสมัยที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่พระเชตวัน นครสาวัตถี มีภิกษุลูกชายเศรษฐีออกบวชได้ ๑๒ ปี ยังไม่บรรลุธรรม ครอบครัวของภิกษุหนุ่มนี้ทำการค้า
แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ล้มละลาย ทำให้บิดามารดาของภิกษุหนุ่มต้องตกทุกข์ได้ยากเที่ยวขอทานเพื่อดำรงชีวิต
 
เศรษฐีพ่อแม่ของภิกษุหนุ่มล้มละลายจนถึงกับต้องขอทานยังชีพ
 
เศรษฐีพ่อแม่ของภิกษุหนุ่มล้มละลายจนถึงกับต้องขอทานยังชีพ
 
        “ น่าสงสารตากับยายคู่นี้จัง แก่แล้วยังต้องมานั่งขอทานอีก นี่จ้า เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นะจ๊ะ คงพอซื้อข้าวได้บ้างนะ ” “ เจริญ ๆ นะแม่หนู่เอ้ย ” “ ขอบใจมาก ”
ด้วยความกตัญญูภิกษุหนุ่มจึงบิณฑบาตเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสองเสมอมา “ โยมพ่อกับโยมแม่ ทานอาหารนี้เถอะ ”

ภิกษุหนุ่มได้นำอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตมาให้พ่อและแม่ของตน
 
ภิกษุหนุ่มได้นำอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตมาให้พ่อและแม่ของตน
 
        “ ช่างเป็นบุญของเราจริง ๆ นะพ่อ ” “ ใช่จ๊ะแม่ มื้อนี้ได้กินอิ่มกันสะที เฮ้อ อดอยากมานาน ” การปฏิบัติของภิกษุหนุ่มกลายเป็นข้อสนทนาของภิกษุอื่น ๆ
เพราะอาหารต่าง ๆ ที่ชาวบ้านนำมาบิณฑบาตด้วยศรัทธา แต่ภิกษุหนุ่มกลับนำอาหารเหล่านั้นไปให้กับบิดามารดาต่อ

เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันวิจารณ์เรื่องที่ภิกษุหนุ่มนำอาหารไปเลี้ยงดูพ่อแม่
 
เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันวิจารณ์เรื่องที่ภิกษุหนุ่มนำอาหารไปเลี้ยงดูพ่อแม่
 
        “ ท่านว่าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติหรือไม่ ในเมื่อภัตตาหารเหล่านั้นชาวบ้านบิณฑบาตให้ด้วยความศรัทธาในศาสนา ” “ แต่การเลี่ยงดูบิดามารดาเป็นสิ่งที่ลูก
ควรทำไม่ใช่เหรอ ” “ นั่นนะสิ แล้วเรื่องนี้จะผิดหรือไม่ผิดกันแน่ ” ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายให้หายข้องใจ

พระศาสดาทรงตรัสเล่า สุวรรณสามชาดก แก่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
พระศาสดาทรงตรัสเล่า สุวรรณสามชาดก แก่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
        สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ เป็นการดีแล้วที่เธอตอบแทนคุณบิดามารดา ไม่ถือว่าผิดหรอก เราอนุญาตให้ภิกษุเลี้ยงดูบิดามารดาได้ แม้ในอดีตเราก็
ประพฤติเช่นนี้เหมือนกัน ” แล้วองค์พระศาสดาก็ตรัสเล่าสุวรรณสามชาดกดังนี้ 
 
นายพรานสองเกลอได้ตกลงกันว่าจะให้ลูกของตนได้แต่งงานกันเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
 
นายพรานสองเกลอได้ตกลงกันว่าจะให้ลูกของตนได้แต่งงานกันเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
 
        ในอดีตกาลนานมาแล้วมีนายพรานที่เป็นเพื่อนรักตกลงกันไว้ว่า ถ้าฝ่ายใดมีลูกสาวและลูกชายจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน “ เกลอเอ๋ยเราทั้งสอง
ก็ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยเหลือกันมานาน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นญาติ แต่เราก็รักกันยิ่งกว่าญาติเสียอีก ”
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานซึ่งพ่อของพวกเขาได้หมายมั่นว่าจะให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานซึ่งพ่อของพวกเขาได้หมายมั่นว่าจะให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน
 
       “ เออ ถ้าอย่างนั้นเราก็มาเป็นญาติกันเสียเลยสิ เจ้าก็มีลูกสาว ส่วนข้าก็มีลูกชาย เราก็ให้เกี่ยวดองกันสะเลยไม่ดีกว่ารึ ” “ ดี ๆ ลูกข้าได้ลูกเจ้ามาดูแล
ข้าก็เบาใจ หึ หึ ดี ๆ ” ต่อมาเมื่อลูกสาวและลูกชายของนายพรานทั้งสองเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานได้ปรึกษากันถึงเรื่องที่จะออกบวช
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานได้ปรึกษากันถึงเรื่องที่จะออกบวช
     
        เมื่อรู้ความต้องการของพ่อ ที่จะให้ร่วมประเวณีกันก็ไม่ได้พอใจ ด้วยเห็นว่าเป็นพ่อเกิดแห่งทุกข์ “ ทำอย่างไรดีละพี่ พ่อของเราอยากให้เราเป็นคู่กัน ”
“ พี่ก็หนักใจอยู่เหมือนกัน พี่ตั้งใจจะออกบวช ไม่คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มีแต่กิเลสตัณหาอย่างนี้ ”
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานได้ออกบวชเป็นฤาษีและฤาษิณี
 
ลูกสาวและลูกชายของนายพรานได้ออกบวชเป็นฤาษีและฤาษิณี
 
        “ น้องก็เช่นกัน ” “ ในเมื่อเราสองคนก็คิดเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราก็ออกบวชกันเถอะ ” “ ดีจ๊ะพี่ ” เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวมีความเห็นตรงกัน
จึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤาษีและฤาษิณีอยู่ในป่าหิมพานต์ พระอินทร์ล่วงรู้ว่าอนาคตต่อไปฤาษีและฤาษิณีจะได้รับอุบัติเหตุด้วยผลกรรม
 
 พระอินทร์ได้บอกให้ฤาษีทั้งสองมีลูกเพื่อไว้เลี้ยงดูตนในยามที่ต้องประสบเคราะห์กรรม
 
พระอินทร์ได้บอกให้ฤาษีทั้งสองมีลูกเพื่อไว้เลี้ยงดูตนในยามที่ต้องประสบเคราะห์กรรม
 
       ตาบอดไม่มีใครดูแลจึงลงมาบอกให้ทั้งสองมีลูก “ กาลข้างหน้าต่อไปเจ้าสองคนจะต้องลำบาก ฉะนั้นควรมีลูกไว้พึ่งพายามยาก ” “ ด้วยเราทั้งสองจะออกบวช
ประพฤติธรรม จะสามารถมีลูกได้เช่นไร ” “ ได้สิ เราจะช่วยเจ้าทั้งสองเอง ”

ฤาษีได้ลูบท้องของฤาษิณีตามคำบอกกล่าวของพระอินทร์
 
ฤาษีได้ลูบท้องของฤาษิณีตามคำบอกกล่าวของพระอินทร์
  
        พระอินทร์ให้ฤาษีลูบท้องของฤาษิณีในเวลาที่มีฤดู แล้วตั้งจิตภาวนาให้มีลูก ฤาษีและฤาษิณีเห็นว่าไม่ได้ประพฤติผิดพรหมจรรย์จึงปฏิบัติตาม ต่อมาฤาษิณี
ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดเด็กชายผิวพรรณงดงาม นามว่า สุวรรณสาม สุวรรณสามเป็นเด็กจิตใจดี โอบอ้อมอารีมีเมตตากรุณาสูงส่ง
 
กินรีและสัตว์ต่าง ๆ มาเป็นเพื่อนเล่นกับสุวรรณสามในยามที่พ่อและแม่เข้าป่าไปหาผลไม้    

กินรีและสัตว์ต่าง ๆ มาเป็นเพื่อนเล่นกับสุวรรณสามในยามที่พ่อและแม่เข้าป่าไปหาผลไม้
 
        สรรพสัตว์ในป่าล้วนเป็นมิตรกับสุวรรณสาม เวลาพ่อแม่ออกไปเก็บผลไม้ในป่าก็มีพวกนางกินรีมาคอยดูแลและเป็นเพื่อนเล่น “ ฮ่า ฮ่า เจ้ากระต่าย
รอเราด้วยรอด้วยสิ ” อยู่มาวันหนึ่งฤาษีและฤาษิณีออกไปเก็บผลไม้ ขากลับฝนตกหนักจึงเข้าไปหลบฝนที่ต้นไม้ “ เฮ้ย ฝนตกลงมาสะได้ ไม่รู้ว่า
สุวรรณสามจะเป็นอย่างไรบ้าง ”
 
ฤาษีและฤาษิณีแวะพักใต้ร่มไม้เพราะฝนตกหนัก
 
ฤาษีและฤาษิณีแวะพักใต้ร่มไม้เพราะฝนตกหนัก
  
       “ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าอย่าเป็นห่วงเลย ” ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ต้นไม้ที่ฤาษีและฤาษิณีหลบฝนอยู่นั้นมีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ งูเง่าเมื่อเห็น
นักบวชทั้งสองก็พ่นพิษใส่เพื่อป้องกันตัว ฤาษีและฤาษิณีตาบอดทันที ทั้งนี้เนื่องจากผลแห่งกรรมเก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นหมอรักษาโรคตา

งูเง่าบนต้นไม้ได้พ่นพิษใส่ฤาษีทั้งสองทำให้ตาบอดในทันที
 
งูเง่าบนต้นไม้ได้พ่นพิษใส่ฤาษีทั้งสองทำให้ตาบอดในทันที
 
        คนไข้คนหนึ่งที่ไม่ยอมจ่ายเงิน ภรรยาหมอแนะให้ปรุงยาทำลายตาของชายนั้นเสีย ด้วยวิบากกรรมนั้นเองเป็นเหตุให้ทั้งสองตาบอดทันที “ โอ้ย แสบ
แสบตาเหลือเกิน ” “ โอ้ยปวดตา โอ้ย มองไม่เห็นอะไรเลย โอ้ย ” สุวรรณสามเมื่อไม่เห็นพ่อกับแม่กลับมาอาศรมสักที จึงออกตามหาด้วยความเป็นห่วง

สุวรรณสามได้ออกตามหาพ่อและแม่ของตนที่หายไปจนเจอ
 
สุวรรณสามได้ออกตามหาพ่อและแม่ของตนที่หายไปจนเจอ
 
       แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่ได้เห็น “ พ่อ แม่ ตาบอดได้อย่างไรกัน ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ” สุวรรณสามร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความสงสาร แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมา
เสียงดัง เป็นที่สงสัยของฤาษีและฤาษิณียิ่งนัก “ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ” “ เจ้าเป็นอะไรหรือสุวรรณสาม เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ ” “ นั่นนะสิ ทำไมถึงหัวเราะดีใจละลูก ”
 
สุวรรณสามหัวเราะชอบใจที่ตนจะได้ดูแลพ่อและแม่ของตนได้เต็มที่
 
สุวรรณสามหัวเราะชอบใจที่ตนจะได้ดูแลพ่อและแม่ของตนได้เต็มที่
 
        “ ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่ผมร้องไห้เพราะว่าสงสารพ่อแม่ที่ตาบอด แต่ที่หัวเราะดีใจเพราะจะได้มีโอกาสรับใช้เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างเต็มที่สะที ” ตั้งแต่นั้นมาสุวรรณสาม
ก็ตั้งใจปรนนิบัติดูแลพ่อแม่เป็นอย่างดี ตั้งแต่จัดน้ำล้างหน้า เก็บที่นอน จัดเตรียมผลไม้และน้ำดื่มน้ำใช้ไว้พร้อม “ พ่อกับแม่ใช้น้ำนี้ล้างหน้านะจ๊ะ ลูกเตรียมไว้ให้แล้ว
 
สุวรรณสามได้ดูแลพ่อและแม่ของตนเป็นอย่างดี
 
สุวรรณสามได้ดูแลพ่อและแม่ของตนเป็นอย่างดี
 
       ” นอกจากนั้นสุวรรณสามยังจัดแจงผูกเชือกโยงจากอาศรมไปยังที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ที่ปฏิบัติธรรมและที่เดินจงกรมเพื่อให้บิดามารดาเดินไปได้สะดวก
ในเวลาที่ตนออกไปหาผลไม้ในป่า อยู่มาวันหนึ่งขณะที่สุวรรณสามกำลังตักน้ำที่ท่าเดียวกันกับฝูงกวางและสัตว์อื่น ๆ ที่กำลังกินน้ำอยู่นั้นก็พลันเกิดเรื่องร้ายขึ้น
 
สุวรรณสามได้ผูกเชือกโยงไปยังที่ต่างๆ เพื่อให้พ่อและแม่ของตนเดินไปได้อย่างสะดวก
 
สุวรรณสามได้ผูกเชือกโยงไปยังที่ต่างๆ เพื่อให้พ่อและแม่ของตนเดินไปได้อย่างสะดวก
 
       “ พวกเจ้า ก็หิวน้ำอยู่เหมือนกันเหรอ อ้าว ๆ เอ้า กินกันให้เต็มอิ่มเลยนะ ” ขณะนั้นท้าวปิลยักษ์ผู้ครองเมืองพาราณสีเสด็จออกล่ากวางในป่าหิมพานต์ตามลำพัง
พระองค์เดียว ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสาม ลงไปตักน้ำท่ามกลางฝูงสัตว์ทั้งหลายก็ทรงแปลกใจ “ เอ้ ใครกันนะ มาอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์
 
สุวรรณสามได้ไปตักน้ำที่ลำธารท่ามกลางหมู่สัตว์มากมาย
 
สุวรรณสามได้ไปตักน้ำที่ลำธารท่ามกลางหมู่สัตว์มากมาย

        อืม ทำไมสัตว์น้อยใหญ่ไม่กลัวเขาเลย จะเป็นคน เป็นเทวดา หรือเป็นนาคกันแน่ มีทางเดียวที่จะรู้ เราต้องยิงด้วยธนูอาบยาพิษให้สลบ แล้วค่อยตรวจดูว่า
เป็นอะไรกันแน่ ” ขณะที่สุวรรณสามยกหม้อน้ำขึ้นบ่ากำลังจะกลับอาศรมนั้นเอง ท้าวปิลยักษ์ได้ยกธนูเล็งไปที่สุวรรณสาม หมายจะให้รู้ความจริงว่าเป็นคนหรือไม่

ท้าวปิลยักษ์แห่งเมืองพาราณสีได้ออกเที่ยวล่าสัตว์ในป่าตามลำพัง
 
ท้าวปิลยักษ์แห่งเมืองพาราณสีได้ออกเที่ยวล่าสัตว์ในป่าตามลำพัง

       ลูกธนูพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถูกตรงสีข้างด้านขวาของสุวรรณสาม สุวรรณสามทรุดตัวลงเลือดไหลนอง ฝูงสัตว์แตกตื่นตกใจวิ่งหนีไปหมด สุวรรณสามค่อย
ประคองวางหม้อน้ำแล้วล้มลงนอนหันศีรษะไปทางอาศรมที่บิดามารดาอยู่ สะกดกลั้นความเจ็บปวดแล้วถามหาผู้คิดร้าย

ท้าวปิลยักษ์ได้สงสัยว่าสุวรรณสามเป็นคนหรืออะไรกันแน่เพราะอยู่ท่ามกลางหมู่สัตว์มากมาย

ท้าวปิลยักษ์ได้สงสัยว่าสุวรรณสามเป็นคนหรืออะไรกันแน่เพราะอยู่ท่ามกลางหมู่สัตว์มากมาย
 
       “ โอ้ย ใคร ใครเหรอประทุษร้ายเรา ในป่านี้เราไม่เคยมีศัตรูเลย เรามัวแต่ตักน้ำ จนลืมเจริญเมตตาไปชั่วขณะ ท่านผู้ยิงเราเป็นใครหนอ ธรรมดาคนฆ่าเสือ
ก็เพราะต้องการหนัง ฆ่าช้างเพราะต้องการงา เนื้อหนังของเรานี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย “ ไฉนท่านจึงยิงเรา ซ้ำยังหลบหน้าไม่ยอมให้เรารู้จัก
 
ท้าวปิลยักษ์ได้เล่งธนูไปยังร่างสุวรรณสาม
 
ท้าวปิลยักษ์ได้เล่งธนูไปยังร่างสุวรรณสาม
 
       ขอให้ท่านออกจากที่ซ่อนเสียเถิด ” “ ชายหนุ่มนี้ถูกเรายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ เจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังไม่คิดร้ายต่อเราอีก กลับเรียกหาเราด้วยถ้อยคำ
อ่อนหวานอีกด้วย ” “ เราเองเป็นคนยิงท่าน แล้วท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมท่านถึงแปลกออกไปจากคนอื่นละ ”
 
สุวรรณสามถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ
 
สุวรรณสามถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ
 
       “ ข้าพเจ้าเป็นบุตรฤาษี ชื่อว่าสุวรรณสาม บัดนี้บาดเจ็บสาหัสต้องตายด้วยคมศรของท่าน ทุกข์อันสาหัสนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดในโลก
ข้าพเจ้าจึงไม่ได้โกรธเคืองท่าน สงสารแต่บิดามารดาผู้ตาบอด ซึ่งมีเพียงข้าพเจ้าเท่านั้นที่ดูแล เมื่อขาดอาหารและน้ำ
 
สุวรรณสามล้มลงและได้ถามหาคนที่ลอบยิงตน
 
สุวรรณสามล้มลงและได้ถามหาคนที่ลอบยิงตน
 
      ท่านทั้งสองก็คงต้องตายตาม ทุกข์ที่พลัดพรากจากบิดามารดาผู้ไร้คนดูแลนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ที่จะต้องตายด้วยคมศรนี้หลายเท่านัก ” พระเจ้าปิลยักษ์รู้สึก
สำนึกถึงความผิดอันมหันต์ของพระองค์ยิ่งนัก “ หะ เราขอโทษด้วย เราช่างทำสิ่งที่ผิดมหันต์ยิ่งนัก
 
ท้าวปิลยักษ์ได้ออกจากที่ซ่อนเดินมาหาสุวรรณสาม
 
ท้าวปิลยักษ์ได้ออกจากที่ซ่อนเดินมาหาสุวรรณสาม
 
       ต่อจากนี้ไป เราจะดูแลพ่อและแม่ของเจ้าเอง จะทำให้ดีเหมือนที่เจ้าเคยทำมา ” สุวรรณสามบอกทางไปอาศรมให้แล้วก็สิ้นสติลง พระเจ้าปิลยักษ์
เมื่อทรงเห็นว่าสุวรรณสามหมดลมหายใจแล้ว จึงวางลงแล้วเดินทางไปยังอาศรมของฤาษี
 
 
สุวรรณสามบอกทางไปอาศรมแก่ท้าวปิลยักษ์แล้วก็สิ้นสติไปทันที
 
สุวรรณสามบอกทางไปอาศรมแก่ท้าวปิลยักษ์แล้วก็สิ้นสติไปทันที
 
       ท้าวปิลยักษ์สารภาพความผิดของตน แล้วรับอาสาเลี้ยงดู ฤาษีทั้งสองเมื่อรู้ข่าวเรื่องบุตรชาย ฤาษีทั้งสองก็ไม่ได้โกรธแค้นปิลยักษ์แต่อย่างใด นอกจาก
ร้องไห้คร่ำครวญ “ สุวรรณสามลูกแม่ ทำไมเจ้ามาจากแม่ไปอย่างนี้ ” “ ท่านช่วยพาเราสองคนไปหาสุวรรณสามได้ไหม

ท้าวปิลยักษ์ได้มาสารภาพความผิดที่ตนได้กระทำต่อสุวรรณสาม
 
ท้าวปิลยักษ์ได้มาสารภาพความผิดที่ตนได้กระทำต่อสุวรรณสาม
 
      เราอยากเจอลูก ได้โปรดเถอะ ” ท้าวปิลยักได้พาฤาษีและฤาษิณีมายังร่างของสุวรรณสามที่นอนอยู่ ฤาษิณีตรวจดูร่างกายของลูกชายเห็นว่ายังไม่ตาย
เพียงแต่สลบไปเท่านั้น จึงตั้งสัจอธิษฐานถึงความดีงามที่สุวรรณสามประพฤติมาอย่างสม่ำเสมอ
 
ฤาษีและฤาษิณีได้ตั้งสัตยาธิษฐานขอให้พิษร้ายหายไปจากร่างของสุวรรณสาม
 
ฤาษีและฤาษิณีได้ตั้งสัตยาธิษฐานขอให้พิษร้ายหายไปจากร่างของสุวรรณสาม
 
       นางปสุนทรีเทพธิดาผู้เป็นมารดาของสุวรรณสามมาแล้วถึง ๗ ชาติ ก็อธิษฐานขอให้พิษร้ายหายไปจากร่างของสุวรรณสามเช่นกัน พอสิ้นคำอธิษฐาน
ความมหัศจรรย์ก็บังเกิด สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาแล้ว “ ท่านพ่อ ท่านแม่ลูกไม่เป็นอะไรแล้ว ”

สุวรรณสามฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง
 
สุวรรณสามฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง
 
       ตาของทั้งสองฤาษีและฤาษิณีหายบอดกลับมามองเห็นได้อย่างเดิม “ หะ ตา ตาของเรามองเห็นแล้ว ลูก ลูกสุวรรณสามก็ฟื้นแล้ว ” “ ตา ตาของเรา
ก็มองเห็นแล้วเช่นกัน ” พระอาทิตย์ทอแสงยามอรุณพอดี สุวรรณสาม

ตาของฤาษีและฤาษิณีกลับมามองเห็นอีกครั้ง
 
ตาของฤาษีและฤาษิณีกลับมามองเห็นอีกครั้ง
 
       บิดามารดาทั้งสองและท้าวปิลยักษ์ก็ลอยขึ้นไปในอากาศมาลงที่อาศรม “ บุคคลใด เลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมแก้ไข
คุ้มครองบุตรผู้เลี้ยงดูบิดามารดานั้น บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม
 
 
ท้าวปิลยักษ์และสุวรรณสามรวมถึงพ่อแม่ได้ลอยกลับมายังอาศรมใน
 
       นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้นั้นในโลกนี้ แม้เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว เขาย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์ ” สุวรรณสามแสดงธรรมแก่พระเจ้ากปิลยัก
แล้วทูลขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม 

สุวรรณสามได้แสดงธรรมแก่ท้าวปิลยักษ์
 
สุวรรณสามได้แสดงธรรมแก่ท้าวปิลยักษ์
 
              พระเจ้าปิลยักษ์รับรองว่าจะปฏิบัติตาม แล้วก็ตรัสอำลาเสด็จกลับกรุงพาราณสี สุวรรณสามพร้อมด้วยบิดามารดาตั้งใจบำเพ็ญสมณะธรรม
จนบรรลุฌานสมาบัติ เมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปเกิดในพรหมโลก
 
พระราชาปิลยักษ์ ได้มาเป็น พระอานนท์
ฤาษีผู้เป็นบิดา ได้มาเป็น พระมหากัสสะปะ
ฤาษิณีผู้เป็นมารดา ได้มาเป็นภิกษุณี ภัททกาปิลานี
สุวรรณสามบัณฑิต เสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ