ชาดก 500 ชาติ
กากชาดก-ว่าด้วยการผูกอาฆาต
กากชาดก เจ้ากาหัวรั้น ผู้ไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของสหาย ได้ก่อเหตุถ่ายรดศีรษะของพราหมณ์ปุโรหิตด้วยความตั้งใจที่จะกลั่นแกล้ง จึงก่อให้เกิดความอาฆาตขึ้นในใจของพราหมณ์ปุโรหิตและเป็นเหตุให้เหล่าพวกพ้องพีน้องกาทั้งหลายต้องพากันเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
กากชาดก ชาดกว่าด้วยการผูกอาฆาตของพราหมณ์ปุโรหิตที่มีต่อกาในพุทธกาลสมัย เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมคำสอนขจรขจายไปทั่วทั้งชมพูทวีป ในครั้งนั้น มีเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในพระเชตวันมหาวิหารเหตุนั้นมีอยู่ว่า มีเหล่ากุฎุมพีพวกหนึ่งในเมืองสาวัตถีมั่งมีทรัพย์สมบัติเป็นสหายรักทำบุญร่วมกัน เมื่อฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วจึงมีดำริว่า “ท่านทั้งหลาย พวกเรานี้ล้วนเป็นคนแก่เฒ่า หากอยู่ครองเรือนต่อไป จะมีประโยชน์อันใดแก่พวกเราเล่าเหล่ากุฎุมพีสนทนากันถึงเรื่องการออกบวชฉะนั้นเราเห็นควรว่า พวกเราทั้งหลายจะบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่น่ายินดีในสำนักของพระบรมศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ พวกท่านน่ะ เห็นว่าอย่างไรเล่า”“จริงอย่างที่ท่านว่า พวกเราแก่ตัวลงแล้ว ควรจะละความวุ่นวายซะที” “อืม งั้นเราไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อขอบรรพชากันเถอะ” เมื่อตัดสินใจดีแล้วเหล่ากุฎุมพีก็พากันยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานของตนและหมู่ญาติ แล้วทูลขอบรรพชากับพระบรมศาสดาเหล่ากุฎุมพีเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อขอบรรพชาแต่ทว่าเมื่อประกาศตนบวชใต้ร่มกาสาวพัสต์แล้ว ก็ไม่ได้นำพากันวิปัสสนาธรรมอันสมควรแก่สมณะเพศ แม้พระธรรมก็ไม่ศึกษาเพราะความเป็นคนแก่ถึงจะบวชแล้วก็เหมือนในครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ยังท้ายวิหารเพื่อใช้เป็นที่รวมกลุ่มกัน เมื่อถึงเวลาออกบิณฑบาตก็ไม่ไปยังที่อื่นใด แต่กลับชักชวนกันเที่ยวไปฉันอาหาร ที่บ้านบุตรหลานภรรยาของตนเป็นประจำ “ท่านทั้งหลาย วันนี้ขอนิมนต์พวกท่านไปฉันภัตตาหารยังเรือนของภรรยาเก่าของเราเถิด” “ได้เลยท่าน แต่หนหลังท่านต้องไปเยือนที่เรือนของบุตรเราบ้างนะท่าน”เหล่ากุฎุมพีเมื่อออกบวชแล้วก็มิได้พากันวิปัสสนาธรรมอันสมควรแก่สมณะ“อ้าว อย่าลืมสิ ว่าเรือนข้าก็มีของอร่อยๆ ไม่แพ้เรือนของท่านทั้งสองเหมือนกันนา” ในบรรดาญาติมิตรของเหล่าภิกษุพวกนั้น มีภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้มีอุปการะแก่พระเถระแก่ๆทั้งปวง เหตุนั้นแม้พระเถระที่เหลือต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันอาหารในเรือนของนางเพียงผู้เดียว ฝ่ายนางเล่าก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้แก่พระเถระเหล่านั้น“นิมนต์พระคุณเจ้า เจ้าคะ อิฉันต้มแกงถวายไว้แล้วเจ้าค่ะ” ต่อมานางนั้นได้ล้มป่วยลง ไม่นานนักก็สิ้นใจลงในเวลาต่อมาภิกษุชรามิได้ออกบิณฑบาตรแต่ได้กลับไปยังบ้านเรือนของตนแทนเป็นเหตุให้เหล่าพระเถระแก่ๆ เหล่านั้นพากันไปสู่วิหารกอดคอกันเที่ยวร้องไห้อยู่ท้ายวิหารนั้น จนภิกษุทั้งหลายที่เห็นอาการเศร้าโศกของภิกษุแก่เข้ามาไต่ถามด้วยความแปลกใจ“ฮือๆ ไม่น่าด่วนจากไปเช่นนี้เลย” “โธ่ ท่านผู้อายุทั้งหลาย เหตุใดพวกท่านถึงได้ร่ำไห้อยู่เช่นนี้ละ” “บัดนี้อุบาสิกาภรรยาเก่าแห่งสายของพวกกระผมผู้มีรสมืออันโอชะได้ตายลงเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผมยิ่งนัก ที่นี้จะหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า” “นั้นนะสิ เห็นกันอยู่หลัดๆ แท้ๆ”ภิกษุชรากลับมาฉันภัตตาหารที่เรือนของตนโดยมิได้ออกบิณฑบาตรกากชาดก พระพุทธองค์จึงทรงนำเอากากชาดกมาสาทกเป็นพุทธโอวาทแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายได้ฟังกัน“ฮือ น่าเศร้าใจแท้ๆ แล้วแต่นี้ไปใครจะทำของอร่อยๆ ให้เราฉันล่ะ” ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้น ของพระเถระเหล่านั้นแล้ว พากันยกเรื่องอันไม่เหมาะไม่ควรนี้ขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุอย่างนี้ พระเถระแก่ๆ ทั้งหลายกอดคอกันเที่ยวร้องไห้อยู่แถวท้ายวิหาร นั้นหนะ ช่างเป็นที่ไม่เหมาะสมกับสมณะเพศเลย”“นั้นนะสิ เป็นพระภิกษุสงฆ์แท้ๆ แทนที่จะตัดความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง กลับมาคร่ำครวญ ไม่ควรเลยนะท่าน”อดีตภรรยาของภิกษุชราได้ล้มป่วยลงหลังจากนั้นก็เสียชีวิตขณะนั้นพระบรมศาสดาเสด็จพอดี จึงตรัสถามถึงเหตุที่เหล่าภิกษุสนทนากันอยู่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยวร้องไห้เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อนภิกษุเหล่านี้อาศัยหญิงนี้ผู้เกิดในกำเนิดกาแล้วตายเสียในสมุทร แล้วร่วมคิดกันว่าพวกเราจะวิดน้ำในมหาสมุทรแล้วนำนางมาให้จงได้ ดังนี้พากันเพียรพยามยาม เพราะได้อาศัยบัณฑิตจึงได้มีชีวิตอยู่ได้ ดังนี้แล้ว”
ภิกษุชราพากันร้องไห้คร่ำครวญถึงการจากไปของอดีตภรรยาพระเถระรูปหนึ่ง“แล้วพระพุทธองค์จึงทรงนำเอากากชาดกมาสาทกเป็นพุทธโอวาทแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายได้ฟังกัน ดังนี้ ในอดีตกาล ณ พระนครพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติปกครองบ้านเมืองอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติบังเกิดเป็นพญานกกาอาศัยอยู่ในป่าช้าใหญ่แห่งหนึ่ง ในกาลนั้นปุโรหิตของพระราชาได้ออกอาบน้ำในแม่น้ำนอกพระนครเมื่ออาบเสร็จก็ประแป้ง แต่งกายประดับดอกไม้นุ่งผ้าสมศักดิ์ศรี “แหม ดู ดูไปแล้วก็หล่อเหลาดีเหมือนกันนะเรานี่ หืม หึหึ เสียอย่างเดียว อ้วนไปนิด”เหล่าภิกษุพากันกราบทูลพระศาสดาถึงเรื่องการวางตนไม่เหมาะสมของพระเถระในขณะที่กำลังเดินเข้าพระนครอย่างเพลิดเพลินนั้น มีกาสองตัวเกาะอยู่ที่ยอดเสาใกล้ประตูพระนคร กาตัวหนึ่งจับจ้องมาที่ปุโรหิต จึงพูดกับเพื่อนกาอีกตัวว่า“นี่ สหายข้า ประเดี๋ยวข้าจะขี้รดหัวพราหมณ์ผู้นี้ เดินเชิดคอผิวปากเห็นแล้วหมั่นไส้ยิ่งนัก” “เฮ้ย เจ้าอย่านึกสนุกอย่างนั้นเลย เจ้าไม่รู้หรอว่าพราหมณ์ผู้นั้นเป็นใคร”“เชอะ ข้าจะไปรู้ได้ยังไง แต่ถึงจะเป็นใคร มาจากไหนเนี่ย ข้าก็ไม่สนนะ จะขี้ใส่ซะอย่าง อย่ามาห้ามซะให้ยากเลย” “พราหมณ์ผู้นี้เป็นถึงปุโรหิตใหญ่ในพระนครเชียวน่า” “ว๊ะๆๆ ว๊าว ตำแหน่งใหญ่โตซะด้วย อย่างนี้สิ ยิ่งน่าขี้รดหัวหน่อยจะได้ไม่เสียแรงเบ่ง อิอิๆๆ”พระบรมศาสดาทรงนำ กากชาดกมาสาทกเป็นพุทธโอวาทแก่เหล่าภิกษุทั้งหลาย“เจ้ากาเอ๋ย เจ้านี่ช่างรั้นซะจริงๆ ขึ้นชื่อว่าการก่อเวรกับอิสระชนนั้น ไม่ควรกระทำนะเจ้า เพราะแกโกรธขึ้นมาแล้ว จะทำให้กาแม้ทั้งหมดฉิบหายได้น่ะ”“นี่ เจ้าเป็นพวกใครกันแน่ไม่เข้าข้างกาพวกเดียวกันเนี่ย แต่ถึงยังไง เจ้าก็ห้ามข้าไม่ได้หร๊อก เพราะยังไงข้าก็ไม่เปลี่ยนใจอยู่แล้ว” “นี่เราเตือนเจ้าแล้วน่ะถ้าเจ้าไม่ฟังก็ตามใจ แล้วเจ้าจะได้รู้เองเจ้ากาหัวรั้น ข้าไปล่ะ ไม่อยากเดือดร้อนเพราะเจ้า” “ไปเลยเจ้ากาปอดแหก” ไม่ว่าจะพูดเตือนสติอย่างไร เจ้ากาหัวรั้นก็ไม่ยอมฟัง สหายกาตัวนั้นจึงบินหนีไป และในเวลาเดียวกันนั้นเองพระเจ้าพรหมทัต ณ นครพาราณสีก็เป็นเวลาเดียวกับที่พราหมณ์ปุโรหิตกำลังเดินผ่านซุ้มประตูเมืองพอดี เจ้ากาหัวรั้นย่อตัวลงถ่ายรดหัวพราหมณ์ทันที สร้างความโมโหโกรธาแก่พราหมณ์เป็นอย่างมาก “อึย! ขึ้นก แหวะ” “ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ โดนเข้าเต็มๆ กลางกระหม่อมเลย แม่นจริงๆ เรา” “หนอยแน่ะ เจ้ากานรกบังอาจมาก ขึ้รดหัวข้า ฮึย! คอยดูข้าจะจับถอนขน ถลกหนังหัวเจ้าหึย ขึ้นก แหวะ เหม็น” “โอ๊ยๆๆ กลัวๆๆๆ มีปัญญาก็มาจับสิ เจ้าพราหมณ์หัวเถิก....ไปละน่ะ บ๊าย บาย ฮ่ะฮาก๊า”พราหมณ์ปุโรหิตได้ออกไปอาบน้ำในแม่น้ำนอกพระนครตั้งแต่นั้นมาปุโรหิตก็ผูกใจอาฆาตจองเวรในฝูงกาทั้งหลาย “ฮึย เจ้านกบ้าคอยดูเถอะ สักวันเจ้าจะได้ตายเพราะน้ำมือข้าแน่ๆ” ครั้งนั้นหญิงทาสีรับจ้างซ้อมข้าวคนหนึ่งเอาข้าวเปลือกผึ่งแดดไว้ที่ประตูเรือน คอยนั่งเฝ้าจนเผลอหลับไป “โอ้ย ลมโชยเย็นสบายจังเลย เฮ้อ ขอหลับสักงีบดีกว่า” ทันใดนั้นเองแพะขนยาวตัวหนึ่งเมื่อเห็นนางทาสีนั้นชะล่าใจเผลอหลับ ก็สบโอกาสแอบมากินข้าวเปลือกที่นางตากไว้เสีย “ฮ่าๆ หลับปุ๋ยเลย ลาภปากแล้วเรา ต้องรีบเข้าไปกิน ฮัมๆ อร่อยจริงๆ”ไม่นานนักนางก็ตื่นขึ้นมาเห็นเข้าพอดี “แหม เผลอหลับไปจนได้กา 2 ตัวสนทนากันอยู่เหนือซุ้มประตูพระนครเฮ้ย! เจ้าแพะบ้า แอบมากินข้าวเปลือกของข้า ตอนข้าหลับไป ไปๆ ไปให้พ้น” แต่ทว่าเมื่อนางไล่ไป เจ้าแพะก็แอบมากินข้าวเปลือกตอนที่นางเผลอหลับเหมือนเดิม“เจ้าแพะมันแอบมากินข้าวเปลือกไปตั้งหลายครั้ง หมดไปกว่าครึ่ง เฮ้อ ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราคงต้องเข้าเนื้อแน่ๆ คราวนี้ต้องทำให้มันไม่มาให้ได้” ดังนั้นนางจึงคิดหาวิธีขั้นเด็ดขาดเพื่อไม่ให้แพะมาแอบกินข้าวเปลือกอีก นางจึงถือใต้แล้วแกล้งทำเป็นหลับ เมื่อเจ้าแพะเห็นนางนั่งหลับก็หลงกลอุบายนางทาสีเข้าจนได้“คราวนี้แหละเจ้าแพะเอ๋ยขนยาวนักใช่มั๊ย” “แอบหลับ เราก็แอบกินเหมือนเดิม” (มามะ เข้ามา เข้ามาใกล้ๆ เจ้าแพะ)มีกาตัวหนึ่งได้ถ่ายรดลงบนศีรษะของพราหมณปุโรหิตในขณะที่เดินผ่านประตูพระนคร“นี่แน่ะ” “โอ้ย เจ็บๆ เฮ้ย ไฟไหม้ขนแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว” “ฮ่ะๆๆ สมน้ำหน้ากลายเป็นแพะย่างแน่ๆ เฮอะๆๆ” เจ้าแพะถูกนางขว้างด้วยใต้เข้าอย่างจัง ขนไฟลุกท่วมขนของมัน เมื่อร่างกายถูกไฟไหม้ มันคิดจะดับไฟให้ดับ จึงวิ่งไปโดยเร็ว เอาตัวสีที่กระท่อมหญ้าแห่งหนึ่งใกล้โรงช้างทันใดนั้น ไฟก็ลุกโหมไหม้กระท่อมอย่างรวดเร็วเปลวไฟอันร้อนแรงลุกไหม้จากกระท่อมลามไปติดโรงช้าง เมื่อโรงช้างถูกไฟไหม้ หลังช้างก็พลอยลวกไหม้ สร้างความโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง ช้างจำนวนมากถูกไฟไหม้เป็นแผลเน่าเปื่อยจนไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ หมอช้างจึงไปเข้าเฝ้ากราบทูลพระราชา
พราหมณ์ปุโรหิตโกรธแค้นและได้ผูกอาฆาตกาที่ถ่ายลงบนศีรษะของตน“ถวายบังคมพะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท” “มีอะไรก็ว่ามาท่านหมอช้าง” “ไฟไหม้โรงช้าง จนช้างเป็นแผลเน่าเปื่อย หม่อมฉันจนปัญญาที่จะรักษาได้แล้วพะยะค่ะ” เมื่อหมอช้างไม่สามารถรักษาช้างได้ พระราชาจึงตรัสปรึกษากับปุโรหิตเพื่อหาหนทางแก้ไข ฝ่ายปุโรหิตนั้นเห็นช่องทางที่จะแก้แค้นเจ้านกกาที่เคยถ่ายรดหัว จึงกราบทูลว่า (คราวนี้แหละเจ้ากา ถึงเวลาที่ข้าจะเอาคืนแล้ว หึๆ ฮ่าๆๆ) “ข้าพระองค์ทราบมาว่า มียาที่สามารถรักษาแผลที่เปื่อยของช้างได้ชงัดนักพระเจ้าข้า” “จริงหรือท่านอาจารย์ แล้วยาที่ท่านอาจารย์บอกคือยาอะไรนะ” “ข้าแต่มหาราชเจ้า ยานี้ ต้องเอาน้ำมันจากกาพระเจ้าคะ” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจงสั่งให้คนไปฆ่ากาซะ เอาน้ำมันในตัวของมันมาเถิด”
เจ้าแพะแอบมากินข้าวเปลือกในขณะที่นางทาสีเผลอนอนหลับ“ทหารพวกเจ้าเร่งไปเกณฑ์พล แล้วเร่งไปจับพวกนกกามาฆ่าเอาน้ำมัน ตามพระราชบัญชาของมหาราชเดี๋ยวนี้” “ขอรับท่านปุโรหิต ไปโว้ยพวกเรา”(ฮิๆ ถึงทีของข้าบ้างละนะเจ้าพวกกาชั้นต่ำ วันตายของพวกเจ้ามาถึงแล้ว) บัดนี้ภัยของเหล่ากามาถึงแล้ว เหล่านกกาถูกจับมาฆ่ามากมาย เมื่อไม่ได้น้ำมันก็ทิ้งซากกองสุมไว้เป็นกองๆ อย่างน่าอนาถใจยิ่งนัก “เฮ้ย ฆ่ามาตั้งร้อยกว่าตัวแล้ว ยังไม่เจอน้ำมันกาเลยสักหยด” “ของเจ้าแค่ร้อยกว่าตัว ทำเป็นมาบ่น ข้าจัดการเฉือนไปตั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าตัว เมื่อยมือจะแย่อยู่แล้วนางทาสีใช้คบเพลิงไล่เจ้าแพะที่แอบมาขโมยกินข้าวเปลือกนี่ อีกตัวเดียวก็จะครบพันอยู่แล้ว ยังไม่เจอน้ำมันเหมือนกันแหละ เหนื่อย เฮ้ยนั่น มีอีกตัวเจ้าไปจัดการมันเลย ตัวนี้ข้ายกให้” “ ได้เลย นี่แน่ะ เฮ้ย พลาดไปได้ไงว่ะเนี่ย”“เจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลย มิน่าล่ะถึงฆ่าได้แค่สิบตัว โน่นมันบินหายเข้าไปในป่าช้าแล้ว” “ใครจะกล้าเข้าไป เดี๋ยวผีหลอก ได้กลัวนะสิ” เจ้ากาตัวนั้นบินหนีเข้าไปในป่าช้าใหญ่อันเป็นที่พำนักของพญากาโพธิสัตว์ ซึ่งมีฝูงกาแปดหมื่นเป็นบริวาร เจ้ากาตัวนั้นจึงนำความถึงภัยที่เกิดขึ้นบอกกับพญากาทันที “ช่วยด้วยๆ ท่านพญากา พวกพ้องวงกาของเรากำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วขอรับ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยขอรับ”ไฟไหม้โรงช้างและทำให้ช้างได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก“พวกเจ้าจงหลบอยู่ในป่าแห่งนี้ อย่าได้เที่ยวออกบินเตร็ดเตร่ไปไหนเดี๋ยวเราจะบำบัดภัยนี้เอง” แล้วพญากาก็รำลึกถึงบารมี 10 ประการ พร้อมกระทำเมตตาบารมีให้เป็นเบื้องหน้าบินรวดเดียวเท่านั้นเข้าไปในช่องพระแกรใหญ่ที่เปิดไว้ เข้าไปซุกอยู่ภายใต้พระราชอาสน์แต่ทว่าอำมาตย์ผู้หนึ่งเห็นเข้า จึงทำท่าจะเข้าไปจับพญากาพระโพธิสัตว์ พระราชาจึงตรัสห้ามเอาไว้ได้ทัน “ปล่อยให้มันเข้ามาหาที่พัก อย่าจับมันเลยท่านอำมาตย์” “พระเจ้าข้า”พระมหาสัตว์ได้พักพอหายเหนื่อย แล้วรำลึกถึงพระบารมี จึงออกจากใต้อาสนะนั้น พร้อมทั้งกราบทูลพระราชาว่าหมอช้างได้กราบทูลพระราชาถึงอาการบาดเจ็บของช้างซึ่งตนหมดหนทางที่จะรักษาแล้ว“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ธรรมดาพระราชานั้นต้องไม่ลุแก่อำนาจอคติใดๆ ต้องมีฉันทาคติเป็นต้น จึงจะชอบ กรรมใดๆ ที่จะต้องกระทำ กรรมนั้นๆ ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วกระทำจึงจะชอบอนึ่งกรรมใดที่จะกระทำ ต้องได้ผลกรรมนั้น เท่านั้น จึงควรจะกระทำ นอกจากนี้ไม่ควรกระทำถ้าพระราชาทั้งหลายทรงกระทำกรรมอันมิชอบแล้ว มหาภัย อันเป็นมรณะภัยย่อมบังเกิดแก่มหาชน อันปุโรหิตนั้นตกอยู่ในอำนาจของการจองเวร จึงได้กราบทูลเท็จเพราะแท้ที่จริงแล้ว ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกานั้น ไม่มีเลยมหาราชเจ้า”พราหมณ์ปุโรหิตได้คิดอุบายที่แก้แค้นเจ้ากาที่เคยถ่ายรถของตนพระราชาทรงสดับคำของพญากาโพธิสัตว์แล้ว ก็มีพระทัยเลื่อมใส จึงให้พระโพธิสัตว์เกาะบนตั่ง อันแพรวพราวด้วยทองคำ ให้คนทาช่วงปีกด้วยน้ำมันที่ได้หุงแล้วได้แสนครั้งแล้วให้บริโภคอาหารที่สะอาดสมควรเป็นพระกระยาหาร ให้ดื่มน้ำ พอพระมหาสัตว์ได้สบายหายเหน็ดเหนื่อยแล้วจึงได้ตรัสว่า “ท่านพญากา ท่านได้กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกานั้นไม่มี ด้วยเหตุใดเล่า มันเหลวของฝูงกาจึงไม่มี” “ข้าแต่มหาราชผู้เจริญ อันฝูงกานั้นมีใจหวาดสะดุ้งอยู่เป็นนิจ และชอบเบียดเบียนชาวโลกทั้งมวลบรรดาเหล่าทหารพากันออกล่าฝูงกาตามคำสั่งของพระราชาเหตุนั้นแล้วมันเหลวของฝูงกาผู้เป็นญาติของข้าพระองค์นั้น จึงหามีไม่ แม้ในอดีตก็ไม่เคยมี แม้ในอนาคตก็จักไม่มีพระเจ้าข้า” เมื่อกล่าวจบพญากาพระโพธิสัตว์จึงทูลเตือนพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดานั้น พระราชามิได้ทรงพิจารณาใคร่ครวญแล้ว ไม่พึงปฏิบัติพระราชกิจ” เมื่อได้ฟังคำของพญากา พระราชาทรงพอพระทัยยิ่งนัก จึงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ แต่พระโพธิสัตว์ถวายราชสมบัตินั้นคืนแด่พระราชาดังเดิม แล้วทูลกับพระราชาว่าบรรดากาทั้งหลายที่ได้รับความเดือดร้อนได้นำข่าวมาแจ้งกับพญากาเพื่อขอความช่วยเหลือ“ข้าแต่มหาราชผู้เจริญ ขอให้พระราชาดำรงอยู่ในเบญจศีล ขอพระราชทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวง”“เรารับปากท่าน ทหารนับแต่นี้ไปให้หยุดการเข่นฆ่าเหล่านกกาและสัตว์อื่นทุกชนิด”“พระเจ้าข้า” จากนั้นพระราชาทรงตั้งนิพัทธทานแก่ฝูงกา ให้หุงข้าวประมาณวันละ 1 ถัง คลุกด้วยของที่มีรสเลิศต่างๆ พระราชาพระราชทานแก่กาทุกๆ วัน นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาฝูงกาทั้งกลายก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดังเดิมพระราชารับปากกับพญากาว่าจะพระราชทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวงและจะตั้งมั่นอยู่ในเบญจศีลในพุทธกาลปัจจุบัน พระเจ้าพาราณสี กำเนิดเป็นพระอานนท์พญากาโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็น พระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้า
![](https://www.dmc.tv/qrcode/cache/qr-code-200-18333.png)
http://goo.gl/Xnq71b