ชาดก 500 ชาติ
มหาอุกกุสชาดก-ชาดกว่าด้วยการผูกมิตร
ณ มหาวิหารเชตวันในพุทธกาลครั้งหนึ่งพระภิกษุในมหาวิหารเชตวัน สนทนากันถึงอุบาสกชื่อ มิตตคันถกะ ซึ่งมาผูกไมตรีไว้กับพระสงฆ์มากมายทั้งพระมหาเถระ 80 องค์ ทั้งพระอานนท์พุทธอนุชา ทั้งยังทำไมตรีกับพระตถาคตเจ้า ซึ่งพระองค์ก็ทรงโปรดให้เขาดำรงในศีลเป็นสรณะมิตตคันถกะ ผู้ซึ่งผูกไมตรีกับพระมหาเถระและพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจนเป็นที่ร่ำลือกันในกลุ่มมหาชนสาวัตถี และเมื่อมิตตคันถกะ มีคู่ครองก็ยังได้อานิสงส์จากศาสนสถานแห่งนี้ ทำอาวาหมงคลพระราชทานจากพระเจ้าปเสนทิ “ที่พระราชาทรงประทานเรือนหลังใหญ่และแก้วแหวนอัญมณีมากมายนี้ เป็นเพราะบารมีพระพุทธองค์แท้ๆ”มิตตคันถกะ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนทุกชนชั้นและเหตุอันนำความเจริญมาให้มิตตคันถกะนั้น ภิกษุทั่วไปกล่าวขานกันว่า เป็นเพราะกุลธิดาคนรักเป็นผู้ชี้แนะให้กระทำ “หากพี่จะครองคู่กับน้อง พี่ก็ต้องผูกมิตรไว้นะจ๊ะคนเราจะได้ดีก็ต้องมีมิตรสหายคอยช่วยเหลือ” “จ้า พี่จะเชื่อเจ้า และทำตามอย่างที่เจ้าบอก”มิตตคันถกะได้คบหาสานสัมพันธไมตรีกับเหล่าคหบดี ปุโรหิต ราชบัณฑิตทั้งหลายสิ่งที่กุลธิดานี้แนะนำให้มิตตคันถกะ ทำนั้นคือ การกระทำไมตรีต่อชาวพระนครไว้เป็นสหาย เขานำข้าวของเครื่องใช้มาแบ่งปันกับเพื่อนบ้าน สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับไมตรีกลับมามากมาย “ขอบใจสำหรับน้ำใจของเจ้า หากผ่านมาทางนี้ก็แวะมาเยี่ยมเยือนกันนะสหายมิตตคันถกะได้รับการกล่าวถึงเป็นที่รู้จักของชาวเมืองทุกชนชั้นภรรยาของข้าอยากจะอวดฝีมือทำกับข้าวสักมื้อหนึงนะ” “แป้งสาลีของเจ้านี่ เนื้อดีจริงๆ เจ้าก็แบ่งข้าวโพดในไร่ของข้าไปบ้างสิ หวานอย่าบอกใครเลยนะ ถ้าเจ้าได้กินแล้วจะติดใจ” เมื่อเขาสามารถผูกมิตรกับชาวพระนครได้ กุลธิดาคนรักก็ได้ชี้ประตูความสำเร็จที่ถูกต้องให้กุลธิดาคนรักของมิตตคันถกะ“ที่พระเชตวันนั้น พี่จะได้คารวะพระพุทธองค์ พระอรหันต์ และจะได้คบหาคหบดี และอาจจะได้เข้าเฝ้ามหาราชแห่งโกศลด้วยนะพี่” “นี่น่ะ เป็นมงคลชีวิตข้อ คบมิตรสหายทั้งหมดนี่น่า” เมื่อมิตตคันถกะคุ้นเคยกับพระเถระในอาราม นานวันก็รู้จักคหบดี ปุโรหิต ราชบัณฑิตมิตตคันถกะเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายเพียงไม่นานก็ได้คบหากับผู้นำสาขาต่างๆ ของพระนครไว้จนหมด “ขัดข้องสิ่งใดก็จงมาเราได้ทุกเวลานะ” “ขอบคุณท่านเศรษฐีมาก ขอรับ” และเมื่อมีมิตรสหายที่สามารถอุ่นใจได้ในความมั่นคงของอนาคต กุลธิดาก็ยอมครองคู่อยู่กินกับมิตตคันถกะ งานมงคลของเขา มีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นประทานมิตตคันถกะเป็นที่รักของบรรดาชาวไร่ชาวสวนทั้งหลายชายหนุ่มธรรมๆ คนหนึ่งก็กลายเป็นผู้มั่งคั่งมีความสำคัญขึ้นมา เมื่อเขาทำการค้าใด ก็มีแต่คนโอบอุ้มช่วยเหลือ หากเกิดเหตุขัดข้องใดๆ ก็ได้ผ่อนปรนจนลุล่วง เพราะบารมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขามีไมตรีไว้ เหตุแห่งความเจริญนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสรรเสริญไว้ต่อภิกษุทั้งหลายในธรรมสภาว่ากุลธิดาคนรักของมิตตคันถกะได้แนะนำให้มิตตคันถกะไปกราบพระพุทธองค์“ดูก่อนภิกษุทั้งหลายไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่มิตตคันถกะอุบาสกนี้อาศัยมาตุคามถึงยศใหญ่ แม้ในอดีตชาติครั้งเป็นเหยี่ยวยังผูกไมตรีสัตว์อื่นไว้ตามคำของนางพ้นความทุกข์ได้”แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า มหาอุกกุสชาดก ดังนี้ ณ ปัจจันตชนบทในอดีตกาลยังมีไม้ใหญ่ขึ้นอยู่บนเกาะกลางบึงน้ำมิตตคันถกะได้กลายเป็นคนสำคัญที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ณ กรุงโกศลนอกชุมชนมนุษย์ บนคาคบพญาไม้นั้น มีนกเหยี่ยวตัวเมียมาอาศัยทำรังสร้างครอบครัว “น้องจ๊ะ ที่อยู่เราก็พร้อมสมบูรณ์แล้ว น้องจะว่าอะไรไหมจ๊ะ ถ้าพี่อยากได้ลูกตัวน้อยๆสักตัว สองตัว” “แหมพี่ เร็วไปจ๊ะ เราเพิ่งย้ายมาอยู่ พี่ควรไปผูกมิตรกับสัตว์อื่นๆ ก่อนนะจ๊ะ หากเรามีลูกน้อยพวกเขาจะได้คอยช่วยเหลือเราได้”มิตตคันถกะได้รับการช่วยเหลือทุกครั้งเมื่อมีเหตุขัดข้องทางการค้านกเหยี่ยวเห็นดีกับภรรยา จึงบินไปทางตะวันออก ผูกไมตรีเป็นสหายกับนกออก หรือพญาเหยี่ยวดำไว้ ต่างสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งกันและกัน “กลางสระใกล้ต้นไม้ที่เธอจะสร้างรัง ยังมี เจ้าเต่าอาวุโสอยู่ จงอย่าลืมไปทักทายเขาด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันได้”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า มหาอุกกุสชาดก แก่เหล่าภิกษุทั้งหลายที่พื้นน้ำล้อมเกาะเล็กๆ แห่งนั้น พญาเต่าดำก็ขึ้นมารับไมตรีของนกเหยี่ยวทั้งยังรับปากจะดูแลไม่ทอดทิ้งกันทั้งยามสุขและทุกข์ร้อน “เอาเถิด ฉันยินดีที่ท่านมาอยู่ด้วยดีเหมือนกันมีเพื่อนมาเพิ่ม ก็ครึกครื้นดีนะ แล้วเนี่ย ไปทักทายท่านราชสีห์รึยังล่ะ ไปฝากเนื้อฝากตัวกับท่านไว้นะ”บึงใหญ่บรรยากาศร่มรื่น ณ ปัจจันตชนบททางทิศเหนือของรังนกเหยี่ยวคือถ้ำราชสีห์ เมื่อผู้น้อยไปกราบคารวะให้ช่วยเหลือยามมีภัย ท่านก็มิได้ขัดข้อง นำความปราโมทย์มาสู่เหยี่ยวที่ผู้เริ่มสร้างรวงรังอย่างยิ่ง“ท่านเจ้าป่าเมตตาข้าเช่นนี้ ครอบครัวเราต้องปลอดภัยเป็นแน่ ภรรยาข้ารอฟังข่าวดีอยู่ ขอลาท่านล่ะ”นกเหยี่ยวคู่รักสองตัวมาอาศัยทำรังบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมบึงวันเวลาผ่านไปอีกฤดูกาล นกเหยี่ยวก็มีลูกเล็กๆ อีก 2 ตัว กลายเป็นครอบครัวใหม่บนคาคบไม้สูง ซึ่งล้อมรอบด้วยน้ำในบึงกว้าง ทั้งพ่อแม่ลูกมีความสุขอยู่ตามอัตภาพนั้น“ลูกรักของแม่ หิวไหมจ๊ะ อ้าปากเร็ว แม่เอาอาหารมาให้แล้ว” “ดูสิ กินใหญ่เลย หิวละซิ น่ารักจังเลยลูกเล็กๆ ของเราเนี่ย”นกเหยี่ยวตัวผู้ได้บินไปทักทายทำความรู้จักกับนกออกจนกระทั่งยามเย็นวันหนึ่ง ปรากฏร่างชายชาวชนบทผ่านทางข้ามน้ำริมบึงเข้ามาหาทางต้นไม้ใหญ่ เหยี่ยวทั้งสองมองเห็นกลุ่มชายเหล่านั้นก็รู้สึกได้ถึงภัยที่กำลังจะเข้ามา“พี่จ๋า พวกนี่น่ากลัวจัง น้องไม่ไว้ใจเลย” ชาวบ้านเหล่านี้ตั้งใจจะพักใต้ต้นไม้เพื่อย่างปลากิน ก่อนหลับนอนเอาแรงเดินทาง “เฮอะๆ ๆ ได้ปลาตัวหนึ่งแล้ว หวานปากล่ะที่นี้”นกเหยี่ยวได้ทำความรู้จักกับเต่าที่อาศัยอยู่ในบึงใหญ่“แหม ปลาตัวเดียวเองจะพอกินอะไร น่าจะมีอะไรมาย่างเพิ่มอีกนะพี่นะ” “เอาน่ามีอะไรก็กินๆ กันไปก่อน” “เจ้าก็รีบไปสุมไฟเข้าเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อนนะ” ชาวบ้านเหล่านี้กำลังหิวจึงรีบหาเชื้อเพลิงมาสุม แล้วจุดไฟขึ้นที่โคนต้นไม้ เมื่อหญ้าแห้งและเปลือกไม้ติดไฟ ก็เกิดควันพวยพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วนกเหยี่ยวได้มาฝากเนื้อฝากตัวกับพญาราชสีห์“ย่างปลาตัวเดียวไม่คุ้มเหนื่อยเล้ย จะแบ่งกันกินยังไงละเนี่ย” “อืม ถ้ามีนกมาย่างก็ดีนะ” ควันไฟนั้นลอยจนถึงรังนกเหยี่ยว ลูกนกเมื่อได้กลิ่นควันก็สำลัก ด้วยยังเล็กนักพวกมันพากันร้องขึ้นระงม “โอ้ย อย่าร้องเสียงดังสิลูก เดี๋ยวมนุษย์พวกนั้นได้ยินหรอก
นกเหยี่ยวคู่รักได้ให้กำเนิดลูกน้อยน่ารัก 2 ตัวพี่จ๋าภัยบังเกิดแก่เราแล้ว เร็วเข้าเถอะ รีบไปหาพญานกออกให้บินมาช่วยเราเร็วๆ ” “จ้าๆ พี่จะรีบไป น้องดูแลลูกๆ ด้วยนะจ๊ะ” ลูกนกก็เปรียบเสมือนทารกน้อยเมื่อตกใจร้องไห้ปลอบเท่าไหร่ก็ยากที่จะหยุดร้อง “เอ๊ะ พวกเจ้าได้ยินเสียงนกร้องมั๊ย พวกมันต้องอยู่ข้างบนต้นไม้นี้แน่ๆ เลย”ชายชาวชนบทเดินทางผ่านมาแวะพักใต้ต้นไม้ที่นกเหยี่ยวอาศัยอยู่“แหม กำลังหิวอยู่พอดีเลย ลูกนกย่างก็อร่อยไม่น้อยนะ พูดแล้วน้ำลายไหล” ขณะที่ชาวบ้านเร่งสุมไฟและทำคบที่จะปีนขึ้นไปจับนกมากินนั้น พญาเหยี่ยวดำมิตรสหายที่อยู่ทางทิศตะวันออกก็พร้อมเข้าช่วยเหลือ “เร็วเข้าเถิดชักช้าลูกเมียข้าจะถูกเผาตายหมด” “งั้น เจ้ารีบไปอยู่กับเมียและลูกเจ้าก่อน ข้าจะจัดการกับพรานพวกนั้นเอง”
ชาวชนบทได้ก่อไฟใต้ต้นไม้เพื่อย่างปลาพญาเหยี่ยวดำหรือนกออก รีบบินนำเอาน้ำในบึงมาโยนบนกองไฟที่สุมอยู่ที่โคนต้นไม้พร้อมใช้ปีกอันกว้างใหญ่โฉบลงจุ่มน้ำมาสลัดลงกองไฟมิให้คุขึ้นได้อีก “นี่คงจะพอดับไฟได้นะ”เมื่อชาวบ้านป่าก่อกองไฟขึ้นใหม่ พญาเหยี่ยวดำก็บินไปเอาน้ำมาดับใหม่และกระทำอยู่เช่นนี้จนอ่อนล้าบินแทบไม่ไหวลูกนกเหยี่ยวสำลักกลิ่นควันไฟต่างพากันร้องไห้เสียงดังระงมแม่นกเหยี่ยวก็ให้พ่อนกไปขอความช่วยเหลือจากเต่าดำให้ขึ้นมาช่วยดับไฟ เวลาล่วงเลยชาวบ้านป่าก็ยิ่งหิว จึงใช้ไฟที่ยังเหลืออยู่บ้างย่างปลาแบ่งกันกิน เมื่อปลาหมดลงก็ทำคบขึ้นและเตรียมเผด็จศึกนกเหยี่ยวบนต้นไม้ “นกตัวนั้นมันบินหนีไปแล้ว คราวนี้ล่ะจะได้กินเหยี่ยวปิ้งแน่ๆ ฮะ ฮ่าๆๆ”เต่าคาบเอาใบบัวและดินเลนมาช่วยดับไฟในขณะที่ชาวบ้านกำลังทำคบเพลิงจะเผารังนกกันอยู่นั้น พญาเต่าดำก็แบกเอาดินเลน คาบเอารากบัวและสาหร่ายจุ่มน้ำขึ้นจากสระและตรงเข้าไปสลัดทับดับไฟทันที“หวังว่าดินเลนพวกนี้คงจะช่วยดับไฟได้นะ เจ้าพวกคนพาลพวกนี้นะโหดร้ายเหลือเกิน ฆ่าสัตว์กันเป็นว่าเล่น” เมื่อพญาเต่าเอาดินเลนกลบทับกองไฟพญาราชสีห์มาช่วยนกเหยี่ยวให้พ้นภัยจากชาวชนบทไฟกองนั้นก็ดับสนิททันที แต่พญาเต่ากลับหนีไม่ทัน “ฮ่ะ ฮ่าๆๆ ดูเจ้าเต่าหน้าโง่ตัวนั้นซิ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาบนกองไฟ ได้กินเนื้อเต่ากันล่ะทีนี้ เฮอะ เฮอะๆๆ”ในช่วงเวลานี้แม่นกเหยี่ยวก็ให้พ่อนกบินไปหาราชสีห์อันเป็นที่พึ่งสุดท้าย ราชสีห์มาช่วยทันเวลาพอดี คนเหล่านั้น ครั้นเห็นพญาราชสีห์กระโจนมาตรงหน้า ทั้งคำรนเสียงก้องป่า ก็พากันหนีกระเจิดกระเจิงไปพญาราชสีห์ได้กล่าวอานิสงส์แห่งมิตรกับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย“สิงห์เอ๋ย ตัวใครตัวมันเว้ย” “โอ้ย ตายๆๆ” “งานนี้หนีก่อนละคร๊าบ โอ๊ย น่ากลัวๆ” เมื่อความสงบคืนกลับมาอีกครั้ง พญาเหยี่ยวดำ พญาเต่า และนกเหยี่ยวทั้งสองก็พากันขอบคุณราชสีห์ครั้งนั้นราชสีห์ได้กล่าวอานิสงส์แห่งมิตรไว้น่าจดจำ “ต่อแต่นี้ เจ้าทั้งหลายอย่าทำลายมิตรธรรม อย่าประมาทต่อมิตรภาพกันและกันเป็นอันขาด” พระพุทธศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้วทรงตรัสว่า อุบาสก มิตตคันทกะ อาศัยภรรยามีความสุขดุจในกาลก่อนที่เป็นนกเหยี่ยวเช่นกันในพุทธกาลสมัยนั้นพ่อเหยี่ยวแม่เหยี่ยว กำเนิดเป็น มิตตคันถกะและภริยาพญาเต่าดำ กำเนิดเป็น พระโมคคัลลานะพญานกออก กำเนิดเป็น พระสารีบุตรพญาราชสีห์ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
http://goo.gl/qw59iU