ชาดก 500 ชาติ
มหาโมรชาดก-ชาดกว่าด้วยพญานกยูงพ้นจากบ่วง
ยุคสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ประชาชนล้วนหลั่งไหลให้พระธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวชีวิต บ้างก็ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ทำดีครั้งนั้นได้มีหนุ่มรูปงามที่ตั้งใจจะละจากกิเลสทั้งปวง ออกบวชมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อตรัสรู้แจ้งแห่งธรรม การงานใดที่เป็นกิจของสงฆ์ ภิกษุหนุ่มนี้ปฏิบัติได้ดีไม่มีขาดว่างจากกิจก็นั่งสมาธิ(Meditation)ตั้งอานาปานสติหนุ่มรูปงามตั้งใจออกบวชเพื่อมุ่งปฏิบัติธรรมเขาปฏิบัติเช่นนี้มานานนับหลายปี จนเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านและพระสงฆ์ผู้น้อย ครั้งนั้นได้มีหญิงรูปงามนางหนึ่งได้เข้ามาฟังธรรมกับผู้เป็นบิดามารดาหญิงงามนางนั้นเมื่อได้ฟังภิกษุหนุ่มเทศนาธรรมก็รู้สึกอิ่มเอมใจ นับจากครั้งนั้นเป็นต้นมา เธอมักจะนิมนต์ให้ภิกษุหนุ่มนั้นมาที่บ้านเสมอ “แม่ค่ะ พ่อค่ะ ตั้งแต่ที่ลูกได้ฟังธรรมจากภิกษุหนุ่มรูปนั้น ลูกมีความสุขมาเลยค่ะ ท่านเทศนาได้เก่งจังภิกษุหนุ่มปฏิบัติศาสนากิจอย่างสม่ำเสมอมิได้ว่างเว้นธรรมที่เป็นเรื่องยาก ก็เทศนาให้เป็นเรื่องง่าย วันหลังเรานิมนต์มาที่บ้านเราอีกดีไหมค่ะ” “ได้สิลูก นิมนต์มาทุกเดือนเลยดีไหม พ่อก็ชอบฟังเทศนาธรรมเหมือนกัน”บ่อยครั้งเข้ากิเลสก็เข้าครอบงำจิตใจ ทุกวันภิกษุหนุ่มก็จะนั่งนับวันเวลาที่จะได้ไปเทศนาธรรมในบ้านหญิงสาวนางนั้นอีก “เมื่อไหร่จะถึงวัน ที่จะได้ไปเทศนาธรรมให้น้องนางได้ฟังอีกนะ ความคิดถึงมันกัดกินใจ ช่างทรมานเหลือเกิน”สาธุชนต่างชื่นชอบและชื่นชมในการบรรยายธรรมของภิกษุหนุ่มเมื่อถึงวันที่พ่อของหญิงสาวมานิมนต์ภิกษุหนุ่มไปแสดงธรรมที่บ้าน ภิกษุหนุ่มได้พูดคุยกับหญิงสาวที่เฝ้าคิดถึงก็มีความสุข ความสุขจากทางโลกเกาะกินใจจนทำให้ภิกษุหนุ่มลืมความตั้งใจที่จะแสวงหาความสุขทางธรรม ความสุขจากการได้ใกล้ชิดหญิงสาวที่รัก ทำให้ภิกษุหนุ่มตัดสินใจลาสิกขาบทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อรู้ก็ทรงห้ามไว้หญิงสาวปรารภให้บิดานิมนต์ภิกษุหนุ่มมาแสดงธรรมที่บ้านของตน“ดูก่อนภิกษุ ความกำหนัดด้วยความสามารถชื่นใจนี้ ไฉนจะไม่ให้บุคคลอย่างเธอวุ่นวายได้เล่า มีอย่างหรือลมที่จะพลิกภูเขาสิเนรุได้ จะไม่ทำให้ใบไม้เก่าๆกระจัดกระเจิงไปในปางก่อนนั้นหนะ แม้สัตว์ผู้บริสุทธิ์คอยหักห้ามความฟุ้งซ่านของกิเลสในภายในอยู่ 700 ปี ก็ยังโดนความกำหนัดด้วยสารมารถความชื่นใจนี้ทำให้วุ่นวายได้เลย” แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่าอดีตนิทานชาดกดังนี้ภิกษุหนุ่มได้มาแสดงธรรมที่บ้านของหญิงสาวในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัต ณ พระนครพาราณสี ณ ชายป่าไกลออกไปมีนกยูงตัวหนึ่งท้องแก่ใกล้คลอด แต่ด้วยต้องติดตามฝูงหากิน เมื่อตกฟองแล้วนกยูงแม่ก็ทิ้งลูกตัวเองไว้ในป่า ออกหากินตามฝูง ธรรมดาว่าฟองไข่ เมื่อมารดาไม่มีโรคและไม่มีอันตรายอื่นๆ จึงเป็นเหมือนดอกกรรณิการ์ตูมๆ มีสีเหมือนสีทองภิกษุหนุ่มนั่งนับวันรอที่จะได้ไปแสดงธรรมที่บ้านของหญิงสาวเมื่อเวลาครบกำหนดก็แตกโดยธรรมดาของตน ลูกนกยูงมีสีเป็นทองออกมาแล้ว ลูกนกยูงทองนั้น มีนัยน์ตาทั้งคู่คล้ายผลกระพังโหมมีจะงอยปากสีเหมือนแก้วประพาฬ มีสร้อยสีแดงสามชั้นวงรอบคอผ่านไปกลางหลัง สมบูรณ์สวยงามกว่านกยูงธรรมดาทั่วไป ครั้นยูงทองเจริญวัยมีร่างกายเติบใหญ่ขนาดดุมเกวียนรูปงามยิ่งนักเมื่ออยู่ในฝูงนกยูงด้วยกันก็ยิ่งโดดเด่นมีราศีกว่าตัวใดภิกษุหนุ่มได้พูดคุยกับหญิงสาวที่ตนเฝ้าคิดถึงฝูงนกยูงเขียวๆ ทั้งหมดมาประชุมกัน แล้วยกให้นกยูงทองเป็นเจ้านาย พากันแวดล้อมเป็นบริวาร วันหนึ่งนกยูงทองดื่มน้ำในกระพังน้ำ เห็นรูปสมบัติของตนก็รู้ถึงอันตรายที่จะตามมา “เรามีรูปงามล้ำเลิศกว่านกยูงทั้งหมด ถ้าเราจักอยู่ในแดนมนุษย์กับฝูงนกยูงเหล่านี้อันตรายคงบังเกิดแก่เรา เราต้องไปป่าหิมพานต์อาศัยอยู่ ณ ที่อันสำราญเพียงลำพังผู้เดียวถึงจะดี ”พระศาสดาทรงตักเตือนและห้ามปรามมิให้ภิกษุหนุ่มลาสิกขากลางดึกคืนนั้น เมื่อนกยูงเขียวตัวอื่นหลับกันหมดแล้ว นกยูงทองก็แอบบินหนีออกไปจากกลุ่ม มุ่งหน้าสู่ทิวเขาไกลออกไป นกยูงทองโผขึ้นบินเข้าป่าหิมพานต์ผ่านทิวเขาไปสามทิว ถึงทิวที่สี่มีต้นไทรใหญ่เกิดบนภูเขาลูกหนึ่ง ตรงกลางภูเขาก็มีถ้ำไว้สำหรับหลบอาศัยหลบภัยได้ “ตรงนี้แหละเหมาะที่จะเป็นที่อยู่แห่งใหม่ของเราพระศาสดาทรงตรัสเล่า มหาโมรชาดก แก่ภิกษุหนุ่มถ้ำนี้น่าอยู่ปลอดภัย ด้วยผู้ที่อยู่ข้างล่างไม่อาจขึ้นไปได้เลย ผู้อยู่ข้างบนเล่าก็ไม่อาจลงไปได้” ครั้นรุ่งขึ้นก็ลุกออกจากถ้ำเกาะที่ยอดเขา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเห็นสุริยะมณฑลกำลังอุทัย ก็สวดปริตรเพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางวันแล้วร่อนลง ณ ที่หากินเที่ยวหากิน ครั้นถึงตอนเย็นนกยูงทองก็บินมาเกาะที่ยอดเขา บ่ายหน้าทางทิศตะวันตกเพ่งดูสุริยะมณฑลอันอัสดงนางนกยูงได้วางไข่ของตนไว้ที่รังริมชายป่า ณ เมืองพาราณสีสวดพระปริตรเพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางคืน นกยูงทองปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ครั้น ณ วันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งท่องเที่ยวไปในราวป่าเห็นพญายูงทองนั้นจับอยู่เหนือยอดเขา “นกยูงทองตัวนี้ ช่างสง่างามนัก หากเราจับแล้วนำไปถวายพระราชา คงจะได้ทรัพย์ก้อนโต”
นางนกยูงได้ทิ้งไข่ของตัวเองไว้แล้วออกหากินตามฝูงของตนนายพรานดักซุ่มวางกับดักเพื่อจะจับนกยูงทองหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จับได้เลย นายพรานอุตส่าห์ดักจับนกยูงทองด้วยวิธีการต่างๆจนร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรม วันหนึ่งเมื่อเขารู้ตัวว่าจะตายจึงเรียกลูกมาและสั่งเสียไว้ “ลูกเอ๋ย ที่ป่าบนยอดเขานั้นนะ มีนกยูงทองสง่างามตัวหนึ่งเมื่อครบกำหนดไข่นกยูงก็แตกออกเป็นลูกนกยูงที่สวยงามต่างจากนกยูงทั่วไปหากพระราชาทรงตรัสถามเจ้าจงทูลให้ทรงทราบ พ่อคงไม่สามารถอยู่จับนกยูงทองตัวนั้นได้อีกแล้ว ” แล้วสิ่งที่นายพรานได้พูดไว้ก็เป็นความจริง วันหนึ่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสีทรงพระนามว่า เขมา ทรงเห็นพระสุบินในเวลาใกล้รุ่ง มีเรื่องราวว่านกยูงมีสีเหมือนสีทองกำลังแสดงธรรม พระนางทรงให้สาธุการสดับธรรมนกยูงหนุ่มถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าฝูงของนกยูงทั้งหมดนกยูงครั้นแสดงธรรมเสร็จก็ลุกขึ้นบินไป ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั้นแหละและก็ตื่นเสีย “ฝันอะไรนะ ราวกับเป็นเรื่องจริง จะทำยังไงดีนะ เราถึงจะได้ฟังธรรมจากนกยูงทองตัวนั้นได้จริงๆ ธรรมที่ได้ฟังมันช่างไพเราะนัก ขับกล่อมใจให้มีความสุขได้ พระราชาจะเชื่อถือในสิ่งที่เราฝันหรือเปล่านะ เฮ้อ”นกยูงหนุ่มเห็นความงดงามของตนจากเงาสะท้อนในน้ำพระมเหสีหลังจากตื่นจากบรรทม ก็ครุ่นคิดถึงทางที่จะได้ครอบครองนกยูงทองตัวนั้น จนบรรทมไปอีกครั้ง จนเมื่อบรรทมไปอีกสักพักก็เกิดอาการกระสับกระส่ายเหมือนทรงแพ้คัน พระราชารู้สึกตัวตื่นก็ทรงปลุกมเหสีด้วยความห่วงใย “เธอผู้เจริญใจ นางไม่สบายเป็นอะไรไปเล่า” “ความแพ้ครรภ์ บังเกิดขึ้นแก่หม่อนฉันเพค่ะ”
นกยูงหนุ่มบินหนีจากฝูงของตนเพื่อไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยสำหรับตน
พระมเหสีได้ขอพระราชาให้จับตัวนกยูงทองมาให้ เนื่องจากนางประสงค์อยากฟังธรรมจากนกยูงทอง หากไม่ได้ฟังชีวิตคงเศร้าหมองตรอมใจตายด้วยความรักและเป็นห่วง รุ่งขึ้นพระราชาตรัสเรียกหารือกับอำมาตย์และขุนนางทั้งหมด “เทวีปรารถนาจะฟังธรรมของนกยูงทอง อันนกยูงมีสีเหมือนทองจะมีอยู่หรือไม่”นกยูงหนุ่มบินมาอาศัยอยู่บนยอดเขาในป่าหิมพานต์“ขอเดชะ พวกพรานคงทราบพระเจ้าค่ะ” จากนั้นพระราชาจึงรับสั่งให้เรียกตัวนายพรานทั้งหมดมาเข้าพบและซักถามถึงนกยูงทอง หนึ่งในนายพรานทั้งหมดนั้นมีลูกของนายพรานผู้ที่เคยเห็นนกยูงทองรวมอยู่ด้วย “ขอเดชะถึงข้าพระองค์จะไม่เคยเห็น แต่บิดาของข้าพระองบอกไว้ว่า นกยูงทองมีอยู่บนยอดเขา ห่างจากนี้ไปอีกสี่ทิวเขาพระเจ้าค่ะ”นกยูงหนุ่มสวดพระปริตรทุกวันในตอนเช้าและตอนเย็น“สหายเอ๋ย เธอจะเป็นที่ให้ชีวิตแก่ฉันและเทวีได้ เพราะฉะนั้นเธอจงไปที่นั้น จับมัดนกยูงทองนั้นกลับมาเถิด เราจะประทานทรัพย์ให้เป็นอันมาก” เมื่อได้รับคำสั่งจากพระราชาลูกนายพรานนั้น หลังจากมอบทรัพย์ที่ได้จากพระราชาให้ลูกเมียแล้วก็รีบเดินทางไปในป่า ดังคำที่พ่อของเขาเคยสั่งเสียไว้นายพรานตั้งใจที่จะจับนกยูงทองไปถวายพระราชา“ ไกลเหลือเกิน เดินทางมาตั้งหลายวันกว่าจะถึง ทีนี้ล่ะเจ้านกยูงทองเอ๋ย เราจะตองจับเจ้าไปถวายแด่พระราชาให้ได้” ลูกนายพรานดักซุ่มตรงยอดเขาได้ไม่นานเขาก็พบนกยูงทอง พรานร้ายทำบ่วงดักรอนกยูงทองให้มาติดกับอยู่นาน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีจนในที่สุดก็ตายไป ทางฝั่งพระเทวีเมื่อไม่ได้นกยูงทองดั่งปรารถนา ก็สิ้นพระชนม์ไปนกยูงไม่เคยติดบ่วงบาศก์แม้เพียงครั้งเดียวเป็นเหตุให้พระราชาทรงโกรธแค้นมาก “เพราะนกยูงทองตัวนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เมียรักของเราต้องตายลงไป คอยดูเถอะเราจะไม่ให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสบายหรอกจากนี้ไปเจ้าจะต้องโดนตามล่า ทุกคนต้องตามล่าเจ้านกยูงทองนั้นให้ได้” พระราชาทรงมีอำนาจพระหฤทัยเป็นไปในอำนาจแห่งเวรนายพรานเล่าให้ลูกของตนได้ฟังในเรื่องของนกยูงทองก่อนที่ตนจะสิ้นใจทรงให้จารึกในแผ่นทองว่า ที่ทิวเขาที่สี่ในป่าหิมพานต์มีนกยูงทองอาศัยอยู่ บุคคลได้กินเนื้อของยุงทองแล้วนั้นจะไม่แก่ไม่ตาย แล้วบรรจุหนังสือนั้นไว้ในหีบไม้แก่นจนพระองค์สวรรค์คตไป ครั้นกษัตริย์พระองค์ใหม่ได้เป็นพระราชาเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นอักษรในแผ่นทองก็เกิดกิเลสอยากเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตายอย่างที่พระราชาองค์เก่าได้เขียนไว้พระนางเขมาทรงพระสุบินว่าตนได้ฟังธรรมจากนกยูงทอง“ทหารเจ้าจงส่งพรานป่าฝีมือดีไปล่าเอานกยูงทองนั้นมาให้ได้ เราจักกินเนื้อนกยูงทองตัวนั้น จากนี้ไปเราก็จะไม่แก่ไม่ตาย อยู่คงกระพัน” แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดเหมือนเดิม นายพรานที่ทหารส่งไปซุ่มดักจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถจับนกยูงทองได้ จนนายพรานผู้นั้นได้เสียชีวิตไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นวนเวียนไปจนล่วงถึง 6 รัชกาลพระราชทรงรับสั่งให้บรรดาพรานออกตามล่าหานกยูงทอง
ลูกนายพรานทั้งหกคนได้เสียชีวิตในป่าหิมพานต์เอง จนมาถึงรัชกาลที่ 7 ลูกนายพรานคนที่เจ็ดก็ได้รับคำสั่งจากพระราชาให้ตามจับตัวนกยูงทองนั้นอีกเช่นกันนายพรานคนที่เจ็ดนี้ดักซุ่มจับนกยูงทองนี้วันแล้ววันเล่าจนถึง 7 ปี นกยูงทองนั้นก็ไม่เคยติดกับดักเขาเลยสักครั้งลูกของนายพรานออกเดินทางเข้าป่าหิมพานต์เพื่อจับนกยูงทอง“เอ้ เพราะอะไรกันนะ นกยูงทองนี่ถึงไม่เคยติดกับดักเราเลย ดีล่ะ เราจะคอยดูเจ้า ว่าเจ้าใช้วิธีไหนหนีรอดกับดักเราไปได้” จากนั้นนายพรานจึงคอยดูนกยูงทองนั้นเมื่อเห็นเจริญพระปริตรทุกเย็นทุกเช้า ก็กำหนดได้โดยนัยว่า ในสถานที่นี้นกยูงตัวอื่นไม่มีเลย อันพญายูงทองตัวนี้คงประพฤติพรหมจรรย์พระนางเขมาทรงสิ้นพระชนม์เพราะตรอมใจที่ไม่ได้ฟังธรรมจากนกยูงด้วยอานุภาพแห่งพรหมจรรย์และด้วยอานุภาพแห่งพระปริตบ่วงจึงไม่ติดเท้าของพญายูงทอง นายพรานเมื่อทราบนัยดังกล่าวแล้ว จึงไปสู่ปัจจันตชนบทดักนางยูงได้ตัวหนึ่งฝึกฝนให้ขันในเวลาดีดนิ้วมือ ให้ฟ้อนในเวลาตบมือ “เออ อย่างนี้แหละลูกพ่อ ขันเสียงสวยๆ หน่อยเอาให้นกยูงทองตกตะลึงไปเลยนะลูก”พระราชาทรงจารึกเรื่องของนกยูงทองไว้ในแผ่นทองด้วยความโกรธแค้นพอถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น นกยูงทองบินมาเกาะบนยอดเขา มิทันที่จะได้เจริญปริตร นายพรานดีดนิ้วมือให้นางนกยูงขัน เมื่อพญายูงทองได้ฟังเสียงของนางยูงกิเลสที่ราบเรียบอยู่ตลอดเวลา 700 ปี ก็ฟุ้งขึ้นทันทีทันใด เป็นเหมือนอสรพิษที่ถูกตีด้วยท่อนไม้แต่พังพานฉะนั้น นกยูงทองกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลสจนไม่สามารถเจริญพระปริตรได้ทีเดียวพระราชาองค์ใหม่ได้อ่านคำจารึกในแผ่นทองคำเกี่ยวกับเรื่องของนกยูงทองนกยูงทองรีบบินไปยังสำนักนางยูงโดยเร็ว ถลาลงโดยอากาศสอดเท้าเข้าไปในบ่วงเสียเลย บ่วงที่ไม่เคยรูดตลอด 700 ปี ก็รูดรัดในขณะนั้น “เจ้านกยูงทองเอ๋ย นายพรานหกคนไม่สามารถที่จะดักตัวเจ้าได้ ถึงตัวเราก็ไม่สามารถดักได้เจ็ดปี แต่บัดนี้เจ้าต้องมาติดบ่วงบาศเพราะอำนาจกิเลสที่มีต่อนางนกยูงผ่านไป 7 รัชกาลก็ยังไม่มีพรานคนใดจับนกยูงทองได้ต่างพากันเสียชีวิตไปตามกาลเวลาการที่เราจะนำสัตว์มีศีลนี้ไปถวายให้พระราชาคงเป็นเรื่องที่ผิดเสียแล้วล่ะ เอาเถอะเราจะปล่อยเจ้าไป” นายพรานเลือกใช้ธนูยิงไปที่บ่วงบาศก์แทนการเข้าไปปลดเองเนื่องจากคิดว่านกยูงทองอาจจะคิดว่าประสงค์ร้าย พาลจะดิ้นทุรนทุรายอันเป็นสาเหตุให้เท้าและปีกบอบช้ำได้ลูกของนายพรานคนที่เจ็ดได้ฝึกนางนกยูงให้ฟ้อนในเวลาปรบมือเค้าคงอยู่ในที่ซ่อน ยกธนูขึ้นสอดลูกศรยืนจ้องอยู่ ทางฝ่ายนกยูงเองเมื่อมองเห็นนายพรานเล็งธนูมาจึงร้องขอชีวิต “ดูก่อนสหาย ถ้าท่านจับข้าพเจ้าเพราะเหตุแห่งทรัพย์แล้ว ท่านอย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย จงจับเป็น นำข้าพเจ้าไปถวายพระราชาเถิด เข้าใจว่าท่านจะได้ทรัพย์ไม่ใช่น้อยเลย”นกยูงทองไม่สามารถสวดพระปริตรได้เพราะได้ยินเสียงของนางนกยูงนายพรานได้ตอบกลับนกยูงทองว่า เหตุที่ยกธนูขึ้นเล็ง มิใช่ว่าต้องการชีวิต แต่ต้องการที่ปลดปล่อยนกยูงทองให้เป็นอิสระ นกยูงทอง
เมื่อได้เห็นว่านายพรานผู้นี้มีธรรมะในจิตใจ จึงแสดงธรรมให้นายพรานได้เกรงกลัวต่อบาปกลัวการตกนรกเพราะทำชั่ว เพียงชั่วครู่จากพราน
ที่คิดปองร้ายเอาชีวิตสัตว์ก็บรรลุธรรมนกยูงทองบินตามเสียงนางนกยูงจนเท้าของตนเข้าไปติดในบ่วงบาศก์นายพรานได้ร้องขอให้นกยูงทองช่วยปลดปล่อยสัตว์อื่นๆ ที่ได้ถูกเขาจองจำไว้ให้ได้เป็นอิสระ “ปัจเจกโพธิญาณที่ท่านทำลายกิเลสเสียแล้ว บรรลุ
ด้วยโพธิมรรคใด โปรดปรารภด้วยโพธิมรรคนั้น กระทำสัจจกิริยาเถิด ธรรมดาสัตว์อันต้องจองจำในชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็จักไม่มี ท่านดำรงอยู่ในฐานะที่
พระโพธิสัตว์กล่าวแล้วเมื่อจะทำสัจจกิริยา”นายพรานได้ฟังธรรมจากนกยูงทองจนบรรลุธรรมในที่สุดเมื่อนั้นนกยูงทองก็ได้กล่าวคาถาปลดปล่อยสรรพสัตว์ที่ได้รับการจองจำให้พ้นเป็นอิสระ เมื่อนกยูงกล่าวคาถาจบ นกทั้งปวงก็พ้นจากที่กักขัง พอดีกัน
กับเวลาที่พระปัจเจกโพธิกระทำสัจจกิริยานั้นเอง ต่างร้องร่าเริงบินไปที่อยู่ของตนทั่วกัน ในขณะนั้นบรรดาสัตว์ต่างๆ ก็ไม่มีตัวใดได้ถูกจองจำไว้อยู่เลยบรรดาสัตว์ทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังจากนั้นมานายพรานก็ละจากเพศคฤหัสถ์ หันมาสู่เพศบรรพชิต ส่วนนกยูงทองก็ใช้ชีวิตด้วยการสวดเจริญปริตรดังเดิม พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันดำรงในพระอรหันต์ แล้วทรงประชุมชาดกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้น ปรินิพพานส่วนพญายูงทองได้มาเป็น เราตถาคตแล
มหาโมรชาดก ชาดกว่าด้วยพญานกยูงพ้นจากบ่วง
ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ประชาชนล้วนหลั่งไหลให้พระธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวชีวิต บ้างก็ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจให้ทำดี ครั้งนั้นได้มีหนุ่มรูปงามที่ตั้งใจจะละจากกิเลสทั้งปวง ออกบวชมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อตรัสรู้แจ้งแห่งธรรม การงานใดที่เป็นกิจของสงฆ์ ภิกษุหนุ่มนี้ ปฏิบัติได้ดีไม่มีขาด ว่างจากกิจก็นั่งสมาธิตั้งอานาปานสติ https://dmc.tv/a21900
บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ[ 28 ก.ย. 2559 ] - [ ผู้อ่าน : 18324 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งเกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ