ชาดก 500 ชาติ
วิโรจนชาดก-ชาดกว่าด้วยสุนัขจิ้งจอกไม่เจียมตัว
เหล่าภิกษุต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของพระเทวทัตครั้งนั้นเมื่อสมเด็จพระพุทธศาสดาประทับยังป่าไผ่ในพระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน กาลเวลานั้นภิกษุสงฆ์ทั้งปวงต่างวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมไม่ดีของพระเทวทัต
ข้อที่กระทำตนเลียนแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่สมควร เหตุเพราะพระเทวทัตเถระมีญาณเสื่อมบังเกิดอิจฉาริษยาในบารมีของพระพุทธองค์
พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ ป่าไผ่ในวิหารเวฬุวันและบังอาจตั้งกฎขึ้นปกครองสงฆ์ขึ้นแข่งขัน แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตนำมาปฏิบัติ “ ดูก่อนท่านเทวทัต อันข้อปฏิบัติเราบัญญัติไว้ดีแล้ว
ไม่ควรเปลี่ยนเป็นเช่นอื่นอีก ” พระเทวทัตซึ่งถือตนว่าเป็นพระญาติและมีทุกสิ่งทัดเทียมเช่นกันกับพระพุทธเจ้าเมื่อถูกขัดใจก็ขุ่นเคือง
จึงวางแผนแยกคณะสงฆ์ออกจากพระศาสดา
พระเทวทัตได้วางแผนแยกคณะสงฆ์ออกจากพระศาสดาพระเทวทัตจึงทำการชักชวนภิกษุบวชใหม่ในสำนักของพระโมคคัลลาและสำนักพระสารีบุตรจำนวน ๕๐๐ รูปให้ติดตามไปตั้งคณะสงฆ์ใหม่ “ ตามเรา
ไปเถิดแล้วจะได้ดีทุกคน เราจะนำไปอยู่อารามใหม่ที่พระเจ้าอชาตศัตรูสร้างให้ ” “ นำไปเถิดพระเทวทัตถ้าท่านเห็นว่าดีเราก็จะเชื่อตามท่านไป ”
พระเทวทัตได้ชักชวนภิกษุบวชใหม่จำนวน 500 รูปให้ติดตามตนไปยังพระอารามใหม่“ นำไปยังคยาสีสะนั่นเถิด เราพร้อมจะไปกับท่าน ” ภิกษุเหล่านี้ติดตามพระโมคคัลลาพระสารีบุตรมาจากเมืองเวสาลีแคว้นวัชชียังไม่ฉลาด
ในพระธรรมวินัยเพราะเพิ่งอุปสมบทไม่นานนักจึงถูกชักจูงได้ง่าย ต่อเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งพระพุทธศาสดาทรงทราบเวลาที่ความรู้ของภิกษุ
ภิกษุจากสำนักพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาได้ติดตามพระเทวทัตไปยังพระอารามใหม่เหล่านั้นแก่กล้าขึ้นพอที่จะฟังอัตถกถาธรรมได้แล้วจึงทรงอนุเคราะห์ส่งพระอัครสาวกทั้งสองไปสู่อารามใหม่ของพระเทวทัต เมื่ออัครสาวก
ของพระพุทธองค์มาถึงพระเทวทัตก็ถือโอกาสอวดตนด้วยการประพฤติเลียนแบบให้ดูเหมือนพระศาสดาทั้งการนอนท่าสีหไสยาสน์
พระอัครสาวกได้ออกติดตามเหล่าภิกษุไปยังอารามใหม่ของพระเทวทัตและยังมอบพุทธกิจให้แสดงธรรมเทศนาแทนด้วยคำพูดเดียวกันพระพระพุทธองค์ “ สารีบุตรท่านจงแสดงธรรมกถาให้เหล่าภิกษุแจ่มกระจ่างเถิด
ได้เวลาเราเหยียดกายพักแล้ว ” (..อนิจจาพระเทวทัตมิได้เจียมตนเลยแม้แต่น้อยน่าเวทนาจริง ๆ ) อันพระสารีบุตรนั้นได้รับการยกย่องอันเลิศล้ำ
ทางปัญญาพระเทวทัตนอนท่าสีหไสยาสน์เลียนแบบพระพุทธองค์เมื่อพระเทวทัตหลงตัวเองสั่งให้แสดงธรรมกถาก็ใช้มรรคผลแห่งสัจธรรมยกขึ้นแสดงจนพระภิกษุทั้งสิ้นตื่นจากความหลงผิดพากันติดตาม
พระโมคคัลลาและพระสารีบุตรกลับมาหาพระพุทธองค์ที่อารามเวฬุวันจนหมด พระเทวทัตนั้นเมื่อรู้ว่าอารามในคยาสีสะของตนไม่มีภิกษุ
พระเทวทัตให้พระสารีบุตรได้แสดงธรรมแก่เหล่าภิกษุทั้ง 500 รูปเหลืออยู่เลยก็บังเกิดความแค้นแน่นอกกระอักลิ่มเลือดออกมาอย่างน่ากลัว จากนั้นก็ล้มพับไป “ พระสารีบุตรทำลายบริษัทของเราแล้ว ” เมื่อพระสารีบุตร
กราบทูลถึงความไม่เจียมตนกระทำเลียนแบบพุทธกิริยาของพระเทวทัต สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสดับแล้วตรัสว่า “ ดูก่อนสารีบุตรมิใช่เพียงบัดนี้เท่านั้น
พระสารีบุตรได้แสดงธรรมกถาแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ 500 รูปที่เทวทัตทำตามอย่างเรา เมื่ออดีตชาติหนึ่งก็เคยถึงแก่พินาศเพราะไม่เจียมตนมาแล้ว จากนั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงระลึกชาติ
ด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณเป็นอรรถกถาวิโรจนชาดกดังนี้ อดีตชาตินั้นในป่าหิมพานต์ยังมีถ้ำทองบนเพิงผาเหนือทุ่งหญ้าอันไพศาลสุดสายตา
เหล่าภิกษุสงฆ์ได้ติดตามพระอัครสาวกกลับมายังอารามเวฬุวันและอุดมไปด้วยฝูงสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ถ้ำทองเหนือชะง่อนผานั้นเป็นที่อาศัยของพญาราชสีห์ผู้ทรงบารมีน่าเกรงขาม พญาราชสีห์ปกครอง
ดินแดนหิมพานต์แถบนี้มานาน มีเอกลักษณ์อันงามสง่าสมชาติสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่ มีแท่นหินฉาบทองวาววามเป็นที่นอนพักกายในขณะอิ่มเอมจากอาหาร
พระเทวทัตได้กระอักออกมาเป็นเลือดหลังจากที่รู้ว่าพระอารามของตนไม่มีภิกษุเหลืออยู่เลยซึ่งพญาราชสีห์จะไม่ออกจากถ้ำทองเลยหากไม่ต้องการล่าสัตว์อื่นดำรงชีพ “ อืม วันนี้ช่างสงบเงียบดีจริง ๆ ขอพักอยู่อย่างนี้ดีกว่า ” แต่เมื่อถึง
เวลาแสดงสีหบารมีพญาราชสีห์ก็จะสะบัดกายเยื้องย่างมายังชะง่อนหินหน้าถ้ำจ้องมองสัตว์น้อยใหญ่เบื้องล่าง เลือกตัวซึ่งถึงที่ตายได้แล้ว
พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณก็แสดงบันลือสีหนาทคำรามก้องภูผาดุจฟ้าร้อง และยามสิงห์คำรามนั้นปวงสัตว์ในทุ่งหญ้าต่างก็พากันอ่อนแรงด้วยตบะบารมีกันถ้วนหน้า แล้วเมื่อ
พญาราชสีห์กระโจนลงจากภูผาด้านหน้าถ้ำทองสัตว์ใหญ่ปานใดก็ไม่อาจต้านทานกำลังต้องตกเป็นอาหารแก่พญาราชสีห์ทุกครั้ง “ เจ้าถึงคราวตายแล้ว
เหนือชะง่อนผามีถ้ำทองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพญาราชสีห์มาเป็นอาหารของเราเสียเถอะ ” วันหนึ่งพญาราชสีห์ฆ่ากระบือใหญ่กินเป็นอาหารแล้วก็ลงสู่สระน้ำใสสะอาดดื่มกิน ทำความสะอาดดีแล้ว
ก็กระทำสีหลีลาเดินขึ้นสู่ถ้ำทองดั่งเคย ครั้งนั้นมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวพเนจรหากินแล้วเกิดพลัดหลงมาเผชิญหน้าเข้ากับพญาราชสีห์
เข้าอย่างสุดจะหลีกเลี่ยงได้
พญาราชสีห์มีแท่นหินฉาบทองภายในถ้ำซึ่งเป็นที่สำหรับนอนพักผ่อน“ โอ้ย ตาย ตาย ตาย หนีไม่ทันแน่ ๆ เรา ต้องทำใจดีสู่สิงห์เข้าไว้ ไหนไหน ก็ไหน ๆ ว่ะ เอาว่ะ เออ คือว่าสวัสดีจ้าท่านราชสีห์ ” “ เจ้ามีธุระ
อะไรกับเรารึเจ้าจิ้งจอก ” “ เออ คือว่าข้ามีเรื่องจะกราบทูลท่าน ” “ หึ เจ้ามีเรื่องใดจะบอกเรา ” “ ข้าแต่นายท่านอันตัวข้าน้อยมาที่นี่หมายจะ
รับใช่ท่าน ” “ อือ รับใช้ข้างั้นรึ ได้สิ ในเมื่อเจ้าตั้งใจมาข้าก็จะเลี้ยงไว้ ”
ก็ยินดีต้อนรับตามวิสัยผู้ยิ่งใหญ่ “ งั้นเจ้าก็ตามมาเถิด เราจะให้เจ้ากินเนื้ออย่างดี นอนในถ้ำทองอันแสนสบาย ” (...สบายละตูกัดก้อนเกลือ
กินมานานแล้ว จู่ ๆ ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างราชสีห์หรูสุด ๆ )
ตั้งแต่บัดนั้นมาจิ้งจอกก็รอกินเดนของราชสีห์ทุกมื้อ กินอิ่มก็ลงไปชำระล้างร่างกายและดื่มน้ำในสระตามอย่างราชสีห์ทุกประการ “ ข้าอิ่มละ
ที่เหลือเป็นของเจ้านะ ไปล่ะ ” “ หือ อร่อยมาก หือสุขใจจริง ๆ ” ไม่นานเท่าไหร่ร่างกายของสุนัขจิ้งจอกก็อ้วนพี อยู่มาวันหนึ่งมันจึงคิดได้ว่า
มันก็มีสองตามีหัวคิดเหมือนราชสีห์มันควรจะได้เลือกกินสัตว์ที่มันชอบบ้างจึงบอกแก่พญาราชสีห์ว่า “ นายท่านหากข้าน้อยต้องการกินเนื้อ
ตัวใดบ้างต้องทำอย่างไรขอรับ ” “ อือ ไม่ยากหรอกเจ้าก็ขึ้นไปบนชะง่อนผาหน้าถ้ำแล้วมองลงไปเลือกปวงสัตว์ข้างล่างนั้น อยากกินช้าง ม้า
กวางตัวใดก็เข้ามาบอกตัวเราว่าข้าน้อยอยากกินเนื้อชนิดนั้น นายท่านจงคำรามแล้วฆ่าสัตว์นั้นเถิด แล้วแบ่งข้าน้อยบ้าง แค่นี้เจ้าก็จะได้กิน
เนื้อสัตว์ที่เจ้าปรารถนา ” ( อืม..ช่างง่ายดายจริง ๆ รู้ว่าง่ายขนาดนี้ทำตั้งนานแล้วนะนี่ ทนกินเนื้อแพะมาตั้งนาน เอ๊ะ แต่ว่าจะกินตัวไหนดีนะ
เฮ้ย มีความสุขจริง ๆ ) เมื่อสุนัขจิ้งจอกเลือกสัตว์ที่อยากกินได้ก็หมอบกราบราชสีห์ “ นายท่าน ข้าน้อยอยากกินควายป่าเชิญท่านแผดเสียงคำราม
ออกมาล่ามันเถิด ” “ ได้ เจ้ารอสักครู่ ”
ของราชสีห์บ่อย ๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องง่าย จนวันหนึ่งเกิดกำเริบทรนงตนขึ้น “ ตัวเราเองก็มีสี่ขา มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนราชสีห์ มีทุกอย่าง แค่คำราม
ข้าก็ทำเป็น แค่เปลี่ยนหน้าที่กันมันจะไปยากอะไร ”
ขอให้นายน้อยไปเลือกดูสัตว์แล้วมากล่าวว่า จิ้งจอกเอ๋ยจงแผดเสียงคำรามเถิด ข้าน้อยก็จะกระโจนไปฆ่าช้างได้ดังท่านทำ ” “ เจ้านะเหรอ
จะทำอย่างเรา ไม่ได้หรอกมันไม่ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่อนุญาต ”
อยากกินเนื้อช้างก็คอยกินที่เราฆ่าได้อย่างเดิมเถิด ” แต่จิ้งจอกหาฟังไม่กลับกล่าวหาว่าราชสีห์หวงแหนบารมี “ หึ ท่านหวงบารมีสิท่า
ก็กระทำการเลียนแบบพญาราชสีห์ทั้งยังบังอาจขอให้ท่านอัญเชิญตนออกไปกระทำสีหนาดนอกถ้ำหวังให้กึกก้องขุนเขาดุจกันกับที่พญาราชสีห์คำราม
ราชสีห์จิ้งจอกก็วิ่งไป ณ ชะง่อนผาแผดเสียงเลียนกิริยาสีหนาทของผู้มีพระคุณทันที เมื่อเจ้าจิ้งจอกคำรามได้สักพักมันก็ตะกุยเท้ากระโจนลงเบื้องล่าง
“ โอ้ย หนวกหูจริง ๆ เจ้าหมาบ้าตัวนี้มันอะไรของมันนี่ ” แล้วจิ้งจอกก็แทบเป็นบ้าไปจริง ๆ เพราะมันกระโดดไปไม่ถึงตัวช้างแต่กลับตกลงบนพื้น
“ เฮ้ย ๆ เฮ้ย เจ้าช้างอย่าเข้ามา เฮ้ย อย่ากระทืบข้าอย่า ”
พญาราชสีห์โพธิสัตว์เหนเช่นนี้ก็กล่าวว่า “ จิ้งจอกเอ๋ย